EEC ส่อวุ่นหนัก “กรมธนารักษ์” ไม่รอศาลปค. เร่งอีสท์ วอเตอร์ คืนท่อน้ำ

EEC ส่อวุ่นหนัก "กรมธนารักษ์" ไม่รอศาลปค. เร่งอีสท์ วอเตอร์ คืนท่อน้ำ

ตามต่อเนื่องกับปัญหาการคัดเลือกเอกชน ในการจัดให้เช่า/บริหาร ระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ซึ่งถือเป็นจุดสำคัญในการดูแลรับผิดชอบ พื้นที่หลัก ๆ ประกอบด้วย เขตจังหวัด ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี , ระยอง ซึ่งตามสัญญาสัมปทานเดิม บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด หรือ อีสท์ วอเตอร์ คือ ผู้รับผิดชอบโครงการ ในกรอบระยะเวลาโครงการ 30 ปี หรือ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2537 ถึง 31 ธันวาคม 2566 ภายใต้ความรับผิดชอบการดูแลเรื่องระบบน้ำ ในพื้นที่บริเวณชายฝั่งทะเลตะวันออก ซึ่งมีความสำคัญโดยตรงต่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC

เพราะหลังจากที่ศาลปกครอง มีคำสั่งเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2565 ยกคำขอเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราว ของอีสท์ วอเตอร์ เพื่อรอการพิพากษาคดีแล้ว โดยให้เหตุผลประกอบว่า

1.ยังรับฟังไม่ได้ว่าคำสั่งของผู้ถูกฟ้อง ที่แจ้งยกเลิกการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนเอกชน เพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ลงวันที่ 16กรกฎาคม 2564 และประกาศเชิญชวนเอกชน เพื่อบริหาร และดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ลงวันที่ 10 กันยายน 2564 เป็นคำสั่งที่ไม่น่าจะชอบด้วยกฎหมาย

2.กรณีผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้รับความเดือดร้อนเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยานั้น พิจารณาแล้วเห็นว่า โครงการที่พิพาทในคดีนี้ ผู้ถูกฟ้องทั้งสาม ประกอบด้วย 1. คณะกรรมการคัดเลือกฯ 2. กรมธนารักษ์ และ 3. คณะกรรมการที่ราชพัสดุ

เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และ เป็นหน่วยงานทางปกครองใช้อำนาจหน้าที่ ในการคัดเลือกเอกชนเข้ามาเป็นคู่สัญญา ในการบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก โดยอาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2562 กฎกระทรวงการจัดหาประโยชน์ที่ราชพัสดุ พ.ศ.2564 และ ระเบียบการกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการคัดเลือกเอชนเพื่อจัดหาประโยชน์ที่ราชพัสดุ ที่มีราคาเกินห้าร้อยล้านบาท พ.ศ. 2564 โดยมิได้ใช้อำนาจตามพ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. 2560 จึงมิอาจนำมาตรา 119 แห่งพ.ร.บ.ดังกล่าว มาบังคับใช้แก่การนี้ได้

และถึงแม้ต่อมาจะได้มีการลงนามเพื่อเข้าทำสัญญาในโครงการที่พิพาทแล้ว แต่หากปรากฎว่า การดำเนินการเพื่อคัดเลือกคู่สัญญาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลย่อมพิจารณาเพิกถอนการดำเนินการดังกล่าวได้

3.หากผู้ฟ้องคดีเห็นว่าได้รับความเดือดร้อนเสียหายจากผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม ผู้ฟ้องคดีก็ชอบจะใช้สิทธิฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ให้ชดใช้ค่าเสียหายได้

ดังนั้น เมื่อคำขอวิธีการชั่วคราวก่อนคำพิพากษาของผู้ฟ้องคดี ไม่เข้าเงื่อนไขที่ศาลจะมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับด้วยเหตุดังกล่าวแล้ว ศาลจึงไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า การทุเลาการบังคับคำสั่งทางปกครองที่พิพาทนั้น ไม่เป็นอุปสรรคแก่การบริหารงานของรัฐหรือแก่การบริการสาธารณะหรือไม่ เพราะมิได้ทำให้ผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม กับคำสั่งศาลปกครองดังกล่าว มีข้อสังเกตุพิจารณาประกอบว่า แม้ศาลจะยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราว กรณีที่บอร์ดที่ราชพัสดุ มีมติให้กรมธนารักษ์ ดำเนินการเซ็นสัญญากับบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง ตามผลการประมูลครั้งที่ 2 แล้วก็ตาม แต่ในหน้า 13 ของคำสั่งเกี่ยวกับการวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา มีข้อความสำคัญ ระบุว่า คำร้องของอีสท์ วอเตอร์ เรื่องการกำหนดหลักเกณฑ์ตามประกาศเชิญชวน ฉบับลงวันที่ 10 กันยายน 2564 ถือเป็นข้อเท็จจริงที่ศาลต้องพิจารณาว่า มีลักษณะเปลี่ยนแปลงไปตามหลักเกณฑ์เดิมอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่

แปลตามตัวอักษร คือ ท้ายสุดการตัดสินจะดำเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ต้องรอคำวินิจฉัยในคดีหลักที่อีสท์ วอเตอร์ ยื่นคำร้องและศาลปกครองรับคำฟ้องไว้พิจารณา ตั้งแต่ เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2564 กรณีคณะกรรมการคัดเลือกเอกชนฯ ซึ่งแต่งตั้งโดยกรมธนารักษ์ มีคำสั่งยกเลิกการคัดเลือกเอกชน เพื่อบริหารและดำเนินกิจการ ระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ซึ่งปรากฎว่า อีสท์ วอเตอร์ เป็นผู้ชนะการประมูลหรือการคัดเลือกเอกชน ครั้งที่ 1 อันเป็นเหตุให้ อีสท์ วอเตอร์ ได้รับความเสียหาย

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ล่าสุด กรมธนารักษ์ โดย นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ ได้มีหนังสือ ที่ กค. 0310/3740 ลงวันที่ 29 มีนาคม 2565 แจ้งเรื่อง การคัดเลือกเอกชน เพื่อบริหารและดำเนินกิจการ ระบบท่อส่งน้ำสายหลัก ฯ ส่งถึง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ อีสท์ วอเตอร์ ระบุใจความสำคัญว่า กรมธนารักษ์ขอให้ อีสท์ วอเตอร์ ต้องดำเนินการจัดทำบัญชี รายการทรัพย์สินที่จะต้องส่งมอบ พร้อมทั้งขั้นตอน วิธีการ ระยะเวลาในการส่งมอบ การเข้าพื้นที่ รวมทั้งรายชื่อผู้ใช้น้ำดิบและข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ของโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล -หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ- แหลมฉบัง (ระยะที่ 2 ) ให้แล้วเสร็จ รวมถึงต้องดำเนินการส่งมอบทรัพย์สินให้กรมธนารักษ์ภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้

และให้ยกเลิกหนังสือกรมธนารักษ์ ด่วนที่สุด ที่ กค 0305/17698 ลงวันที่ 14 ตุลาคม 2558 เรื่อง การจัดให้เช่า/บริหาร โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล – หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ – แหลมฉบัง (ระยะที่ 2) ตามหนังสือที่อ้างถึง 9 โดยให้มีผลเป็นการยกเลิกตั้งแต่วันที่กรมธนารักษ์สามารถส่งมอบทรัพย์สินทั้ง 2 โครงการดังกล่าวให้แก่บริษัทวงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ในระหว่างระยะเวลาที่ยังไม่มีการยกเลิกให้บริษัทดำเนินการบริหารจัดการต่อไป

ทั้งนี้ เมื่อบริษัทฯ ได้ล่วงรู้โดยหนังสือฉบับนี้แล้วว่า อาจจะมีความเสียหายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน และยังคงเพิกเฉย หรือปฏิเสธไม่ดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วน อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่มิชอบด้วยกฎหมาย กรมธนารักษ์มีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการต่อไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ตราบใดที่ยังมิได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาล ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการตามหนังสือฉบับนี้เป็นไปอย่างถูกต้องครบถ้วน กรมธนารักษ์จะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ ผู้เกี่ยวข้องดำเนินการประสานกับบริษัทฯ เพื่อกำหนดวัน เวลา ในการดำเนินการให้แล้วเสร็จ ภายในกรอบเวลาดังกล่าว

สำหรับโครงการท่อส่งน้ำดอกกรายนั้น บริษัทฯ ยังคงมีสิทธิดำเนินการต่อไปได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566 ซึ่งเป็นวันสิ้นสุดสัญญา กรมธนารักษ์จะได้แจ้งให้ส่งมอบระบบท่อส่งน้ำและบัญชีทรัพย์สินตามที่กำหนดไว้ในสัญญาบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ฉบับลงวันที่ 26 ธันวาคม 2536 และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องต่อไป

เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏว่า หลังจากที่คณะกรรมการที่ราชพัสดุได้มีมติเห็นชอบให้บริษัท วงษ์สยาม ก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ได้รับสิทธิบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกแล้ว บริษัทฯ ก็ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครองกลางพิจารณาคำขอและมีคำสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา เป็นการฉุกเฉินในวันเดียวกันคือวันที่ 14 มีนาคม 2565

และต่อมาในวันที่ 23 มีนาคม 2565 บริษัทฯ ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับมติของคณะกรรมการที่ราชพัสดุ เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2565 ด้วย จึงถือว่าบริษัทฯ ได้ทราบถึงข้อเท็จจริงในการคัดเลือกเอกชนและมติของคณะกรรมการคัดเลือกฯ

ตลอดจนมติของคณะกรรมการที่ราชพัสดุมาโดยตลอด ดังนั้น เหตุผลที่จะต้องระบุไว้ในคำสั่งทางปกครองของคณะกรรมการที่ราชพัสดุเกี่ยวกับข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ข้อกฎหมายที่อ้างอิง และข้อพิจารณาและสนับสนุนการใช้ดุลพินิจในกรณีนี้ จึงเป็นเหตุผลที่รู้กันอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องระบุอีก ตามนัยมาตรา 37 วรรคสอง (2) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 อีกทั้งเป็นกรณีที่ไม่จำต้องแจ้งสิทธิในการโต้แย้งของบริษัทฯ ต่อไป ตามนัยมาตรา 40 และมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เช่นเดียวกัน

ตรงนี้ถือว่าหลายประเด็นให้ต้องพิจารณาถึงพฤติการณ์ของกรมธนารักษ์ เพราะเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 ศาลปกครอง ได้มีคำสั่งลงวันที่ 9 มีนาคม 2565 ระหว่าง บริษัทอีสท์ วอเตอร์ กับ คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนในการจัดให้เช่า / บริหารระบบท่อส่งน้ำภาคตะวันออก

ระบุใจความสำคัญดังนี้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้องขอให้เพิกถอนมติหรือคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ยกเลิกการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ตามประกาศเชิญชวนเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2564

แต่ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฎว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมยื่นข้อเสนอในโครงการที่พิพาทครั้งใหม่ ตามประกาศเชิญชวนเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ลงวันที่ 10 กันยายน 2564 ซึ่งปัจจุบันได้มีการพิจารณาผู้ได้รับคะแนนประเมินสูงสุดแล้ว

กรณีนี้หากการคัดเลือกเอกชนเพื่อเข้าทำสัญญาในโครงการดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไป จนมีการลงนามในสัญญา ย่อมทำให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้ยื่นข้อเสนอในการประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมยื่นข้อเสนอครั้งแรกได้รับความเสียหาย

เนื่องจากมาตรา 119 วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 บัญญัติให้การฟ้องคดีไม่มีผลกระทบต่อการจัดซื้อจัดจ้างที่หน่วยงานของรัฐได้ลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแล้ว จึงย่อมทำให้การฟ้องคดีนี้ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟ้องคดีในการแก้ไขเยียวยาความเสียหายจากมติหรือคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ยกเลิกการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกครั้งแรก

ประกอบกับโครงการพิพาทมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เอกชนบริหารจัดการและดูแลรักษาระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ให้สามารถตอบสนองความต้องการใช้น้ำของชุมชนและกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเพียงพอและทันต่อการณ์ โดยบริหารจัดการเพื่อให้เกิดเสถียรภาพและความมั่นคงที่มีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันในภาคตะวันออก

 

ดังนี้ หากการยกเลิกการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงอาจเป็นอุปสรรคแก่การบริการสาธารณะด้านการให้บริการสาธารณูปโภค

ศาลจึงมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วนตามข้อ 49/2 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543

จากบริบทหนังสือของศาลปกครอง ที่ชี้ว่าคดีนี้มีความจำเป็นต้องพิจารณาโดยเร่งด่วน เพราะ หากการยกเลิกการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหาร และดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจเป็นอุปสรรคแก่การบริการสาธารณะด้านการให้บริการสาธารณูปโภค

จึงต้องตั้งคำถามไปถึงกรมธนารักษ์ ว่า ความพยายามของกรมธนารักษ์ ในการเร่งรัดให้อีสท์ วอเตอร์ ดำเนินการจัดทำบัญชีรายการทรัพย์สินที่จะต้องส่งมอบ พร้อมทั้งขั้นตอน วิธีการ ระยะเวลาในการส่งมอบ การเข้าพื้นที่ รวมทั้งรายชื่อผู้ใช้น้ำดิบและข้อมูลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ของโครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล -หนองค้อ และโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ- แหลมฉบัง (ระยะที่ 2 ) ให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือฉบับนี้ ( 29 มีนาคม 2565 ) เป็นเรื่องถูกต้อง เหมาะสมหรือไม่อย่างไร และทำไมต้องเร่งรีบ เร่งรัด ในเมื่อศาลปกครองยังไม่มีคำพิพากษาใด ๆ ออกมา

ไม่เท่านั้นต้องจับตาว่า การที่คณะกรรมการบริษัท อีสท์ วอเตอร์ เรียกประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2565 ในรูปแบบการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในวันศุกร์ที่ 29 เมษายน 2565 ทางคณะกรรมการบริษัท โดยเฉพาะท่าทีของนางอัศวินี ไตลังคะ ประธานคณะกรรมการบริษัทฯ ซึ่งก่อนหน้าถูกผู้ถือหุ้นยื่นคำร้องต่อ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และทาง ก.ล.ต. ว่า อาจมีการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อจรรยาบรรณในทางธุรกิจว่าด้วยเรื่องความขัดแย้ง ทางผลประโยชน์ รายการที่เกี่ยวโยงกัน และ การทำธุรกรรมระหว่างกันของกลุ่มบริษัท อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ 2535 จะมีแนวทางปกป้องผลประโยชน์ของ อีสท์ วอเตอร์ อย่างไร หรือไม่

ด้วยทรัพย์สินของอีสท์ วอเตอร์ ที่กรมธนารักษ์ เรียกร้องให้ส่งมอบภายใน 60 วัน ทางการประปาส่วนภูมิภาค ในฐานะมีส่วนสำคัญในทรัพย์สิน หรือ ท่อน้ำประปา สายหลักภาคตะวันออก จะเคลื่อนไหวต่อเนื่องหรือไม่ อย่างไร

เพราะถ้าพิจารณาจากแผนที่ท่อน้ำสายตะวันออก จะพบว่า จุดของท่อน้ำที่ถูกเรียกส่งมอบคืน ให้กับบริษัทวงษ์สยาม ก่อสร้าง จำกัด ระยะทาง 135.9 กิโลเมตร ถือเป็นท่อน้ำหลัก เนื่องจากจะทำให้ระบบการส่งน้ำ สามารถครอบคลุมพื้นที่ ดอกกราย-มาบตาพุด-สัตหีบ , หนองค้อ-แหลมฉบัง , หนองปลาไหล-หนองค้อ และ หนองค้อ-แหลมฉบัง เมื่อนำมาเชื่อมกับท่อน้ำระยะยะทาง 355.9 กิโลเมตร ที่บริษัทอีสท์ วอเตอร์ ลงทุนก่อสร้างเอง จนทำให้ระยะทางของท่อน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก รวมความยาวทั้งสิ้น 491.8 กิโลมตร

ในทางตรงกันข้าม อีสท์ วอเตอร์ ถ้าขาดท่อน้ำหลักนี้ไปก็จะเกิดปัญหา เรื่องการให้บริการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก และรวมถึงในอนาคต อาจต้องเก็บค่าน้ำในอัตราที่สูงกว่าเดิม ในกรณีถ้าบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง เข้ามาเป็นผู้รับผิดชอบท่อน้ำในพื้นที่ของกรมธนารักษ์

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"อัจฉริยะ" แจงผลสอบ "อาหารเสริม Eighteen 18" พบมีเลข อย.ถูกต้อง
"อดีตบิ๊กข่าวกรอง" ชี้เจรจา MOU 44 ถามคนไทยหรือยัง เอาพลังงานหรืออธิปไตย
สุดเศร้า "นักเรียน ม.4" เรียนวิชาพละ  วิ่งได้ 200 เมตร หัวใจวายเสียชีวิต
"ณัฐวุฒิ" โอ่คนไทยอ่านขาดแล้ว เกมฝ่ายขวาจัด ปลุกชาตินิยม ล้มรบ. เย้ยรอบนี้ไม่ง่ายเหมือนก่อน
เปิด 40 รายชื่อ สรุปยอดผู้สมัคร ป.ป.ช. พบคนดังเพียบ
"ยายวัย 80 ปี" เครียดอยากจบชีวิต หลังถูก "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" หลอกโอนเงินเก็บเกลี้ยงบัญชี
"ร้านเนื้อย่างดัง" โพสต์ตามหา "ลูกค้า" โอนเงินค่าอาหารเกิน 2 แสนบาท
กรมอุตุฯ ประกาศฉบับ 10 เตือน ปชช.ไทยตอนบนอากาศแปรปรวน ภาคใต้ฝนตกหนัก เสี่ยงน้ำท่วมฉับพลัน
ระทึก ! บุกยิงบ้านผู้ใหญ่ โบว์ คาดว่า การเมือง ท้องถิ่นเป็นเหตุ
‘บิ๊กต่าย’ เผยตร.ทำงานยังคงทำคดี ‘ดิไอคอน’ ตามที่ DSI ร้องขอ

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น