“พม.-นิด้าโพล” เปิดผลกระทบ “เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา” ช่วงโควิดระบาด

“พม.-นิด้าโพล” เปิดผลกระทบ “เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา” ช่วงโควิดระบาด พร้อมข้อแนะรัฐบาลช่วยทุกด้านทั้งลดค่าเทอมปรับลดเวลาเรียน เร่งออกมาตรการช่วยค่าครองชีพ

พม. Poll” ศูนย์สำรวจความคิดเห็นทางสังคม กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยสำนักงานส่งเสริมและสนับสนุนวิชาการ 1-11 ร่วมกับศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจ เรื่อง “Feedback สังคมไทย ต่อภัย COVID-19” เกี่ยวกับผลกระทบที่ได้รับในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคม โดยทำการสำรวจในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 จากตัวอย่างที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป กระจาย ทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ใช้ระเบียบวิธีวิจัยเชิงสำรวจ (Survey Research) โดยใช้วิธีการสุ่มตัวอย่าง แบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) รวมขนาดตัวอย่างทั้งสิ้น จำนวน 4,400 หน่วยตัวอย่าง เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีลงพื้นที่ภาคสนาม กำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 95.00 จากผลการสำรวจ พบว่า

 

ข่าวที่น่าสนใจ

1. ด้านการศึกษา

เมื่อถามตัวอย่างถึงการมีสมาชิกในครอบครัวที่กำลังศึกษา พบว่า ส่วนใหญ่ ร้อยละ 75.64 ระบุว่า มีสมาชิกในครอบครัวที่กำลังศึกษาอยู่ โดยเฉลี่ย 2 คน และร้อยละ 24.36 ระบุว่า ไม่มี ซึ่งตัวอย่างที่มีสมาชิกในครอบครัวที่กำลังศึกษาอยู่ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 92.97 ระบุว่า มีผู้ที่เรียนออนไลน์ และร้อยละ 7.03 ระบุว่า ไม่มีผู้ที่เรียนออนไลน์ ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในการเรียนออนไลน์ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 82.45 เป็นโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟน รองลงมา ร้อยละ 41.08 เป็นคอมพิวเตอร์/โน๊ตบุ๊ค และร้อยละ 19.13 เป็นแท็บเล็ต/ไอแพด

สำหรับการได้รับการช่วยเหลือด้านการศึกษา ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 พบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 89.18 ได้รับการช่วยเหลือด้านการศึกษา โดยร้อยละ 59.87 ระบุว่า ได้รับการช่วยเหลือเป็นเงินเยียวยาจากรัฐบาล 2,000 บาท ร้อยละ 39.52 การลดค่าเล่าเรียน/คืนเงินค่าเทอม (บางส่วน) และร้อยละ 22.07 ได้รับเงินคืนค่าอาหารกลางวัน ขณะที่ร้อยละ 10.82 ไม่ได้รับการช่วยเหลือด้านการศึกษา โดยร้อยละ 28.85 ระบุว่า ต้องการให้ช่วยเหลือสนับสนุนค่าอินเทอร์เน็ต ร้อยละ 25.96 อุปกรณ์การเรียนออนไลน์ และร้อยละ 24.04 การลดค่าเทอม

เมื่อถามถึงผลกระทบจากการเรียนออนไลน์ พบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 72.23 ระบุว่า เรียนไม่เข้าใจ ไม่มีสมาธิในการเรียน ผลการเรียนลดลง รองลงมา ร้อยละ 67.77 เพิ่มภาระค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์การเรียนออนไลน์ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต และร้อยละ 48.41 ผู้ปกครองมีภาระเพิ่มขึ้นในเรื่องการเรียนของบุตรหลาน ส่วนรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ตัวอย่างต้องการมากที่สุด ในสถานการณ์ปัจจุบัน คือ การเรียนการสอนแบบ On-site (เรียนในสถานศึกษา)

สำหรับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมด้านการศึกษา ตัวอย่างเสนอว่าควรปรับลดเวลาเรียน เนื้อหาวิชาการ และการบ้าน เพื่อลดความเครียดของนักเรียน กำหนดมาตรการหรือแนวทางป้องกัน เพื่อให้นักเรียนสามารถไปเรียนที่โรงเรียนได้ตามปกติ หรือควรจัดการเรียนการสอนแบบ On-site (เรียนในสถานศึกษา) สลับกับ การเรียน Online (เรียนออนไลน์) รวมถึงสนับสนุนอุปกรณ์การเรียนออนไลน์และค่าอินเทอร์เน็ต และควรลดค่าเทอม/ไม่เรียกเก็บค่าเทอม

2. ด้านเศรษฐกิจ

เมื่อถามถึงการได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 พบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 74.02 ได้รับผลกระทบ และ ร้อยละ 18.75 ไม่ได้ผลกระทบ สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 โดยผลกระทบที่ได้รับ มากที่สุด 3 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 30.90 ระบุว่า ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น อันดับ 2 ร้อยละ 13.27 ระบุว่า ต้องนำเงินเก็บ/ เงินออมมาใช้จ่าย และอันดับ 3 ร้อยละ 11.92 ระบุว่า การประกอบอาชีพยากลำบาก เช่น ขายของยากขึ้น

เมื่อถามถึงการปรับตัวทางด้านการเงิน ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 พบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 87.36 มีการปรับตัวในด้านการเงิน โดยร้อยละ 77.86 ระบุว่า มีการปรับตัวในเรื่องของ การประหยัดค่าใช้จ่าย รองลงมา ร้อยละ 50.60 หารายได้เพิ่ม และร้อยละ 31.04 นำเงินออมออกมาใช้จ่าย ขณะที่ร้อยละ 8.36 ตัวอย่างไม่มีการปรับตัวในด้านการเงิน และร้อยละ 4.27 ไม่ทราบ/ไม่แน่ใจ

สำหรับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมด้านเศรษฐกิจ ตัวอย่างเสนอว่ารัฐบาลควรปรับลดราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ลดราคาน้ำมัน รวมถึงลดภาษี/ลดภาระค่าใช้จ่าย/ลดดอกเบี้ย และเร่งให้มีมาตรการกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย และขยายระยะเวลาโครงการคนละครึ่ง เพิ่มราคาสินค้าทางการเกษตร เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ และเพิ่มมาตรการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19

3. ด้านสังคม

เมื่อถามถึงเรื่องที่ส่งผลต่อการดำเนินชีวิต ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 มากที่สุด 3 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 17.58 สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา ล้างมือบ่อยขึ้น อันดับ 2 ร้อยละ 16.56 เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานและรูปแบบการประกอบอาชีพ และอันดับ 3 ร้อยละ 14.77 ต้องปรับรูปแบบการเรียนเป็นแบบออนไลน์ (Online)

สำหรับการได้รับการช่วยเหลือจากภาครัฐ ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 พบว่า ตัวอย่างส่วนใหญ่ ร้อยละ 87.11 ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ ขณะที่ร้อยละ 12.89 ไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐ โดยส่วนใหญ่ ร้อยละ 38.80 ให้เหตุผลของการไม่ได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐว่า คุณสมบัติ ไม่เข้าเงื่อนไขในการรับสิทธิจากภาครัฐ รองลงมา ร้อยละ 29.85 ไม่ทราบข้อมูลโครงการของภาครัฐ และร้อยละ 22.39 ไม่สามารถเข้าถึงการบริการของภาครัฐ

 

ส่วนเรื่องที่ต้องการให้ภาครัฐดำเนินการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน ในช่วงการแพร่ระบาดของ โรคโควิด 19 3 อันดับแรก พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 20.25 ลดค่าครองชีพ/ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าวัสดุอุปกรณ์ในการศึกษา อันดับ 2 ร้อยละ 19.67 การเข้าสู่กระบวนการรักษาที่สะดวกและรวดเร็ว และอันดับ 3 ร้อยละ 16.73 การจัดหาอุปกรณ์ตรวจเชื้อ ATK/เครื่องวัดไข้/หน้ากากอนามัย/แอลกอฮอล์

เมื่อถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงหรือการปรับตัวของสังคมไทย ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 พบว่า ร้อยละ 55.52 ระบุว่า คนไทยให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ร้อยละ 44.20 ระบบการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศไทยมีความพร้อมรับมือกับโรคอุบัติใหม่ และ ร้อยละ 41.48 เกิดความร่วมมือจากทุกหน่วยงานในการดูแลให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ

สำหรับข้อเสนอแนะเพิ่มเติมด้านสังคม ตัวอย่างเสนอว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรรณรงค์สร้างความร่วมมือเกี่ยวกับการปฏิบัติตนตามแนวทางป้องกันโรคโควิด 19 สนับสนุนหน้ากากอนามัยและ เจลแอลกอฮอล์ รวมถึงทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการบริการด้านสาธารณสุขได้อย่างทั่วถึง และการมีมาตรการหรือบทลงโทษกับผู้ฝ่าฝืนการกระทำที่ก่อให้เกิดการเเพร่เชื้อโรคโควิด 19 อีกทั้งภาครัฐควรมีมาตรการในการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มงวด และการแก้ปัญหาอาชญากรรม

เมื่อพิจารณาลักษณะข้อมูลทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 58.73 เป็นเพศหญิง ร้อยละ 39.68 เป็นเพศชาย และร้อยละ 1.59 เป็นเพศทางเลือก ตัวอย่างมีอายุเฉลี่ยประมาณ 28 ปี และส่วนใหญ่ร้อยละ 68.32 มีสถานภาพโสด ร้อยละ 27.82 สมรสแล้ว และร้อยละ 3.23 หม้าย/หย่าร้าง/แยกกันอยู่ ตัวอย่างร้อยละ 69.18 ระบุว่า ไม่มีบุตร และร้อยละ 30.82 มีบุตร ซึ่งมีบุตรโดยเฉลี่ย 1-2 คน ส่วนระดับการศึกษา ตัวอย่างร้อยละ 36.66 มีการศึกษาระดับปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ร้อยละ 36.09 มีการศึกษาระดับมัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า และร้อยละ 13.18 มีการศึกษาระดับอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ส่วนอาชีพ พบว่า ตัวอย่างร้อยละ 40.18 เป็นนักเรียนนักศึกษา ร้อยละ 15.41 รับราชการ/พนักงาน/ลูกจ้างของรัฐ และร้อยละ 9.77 รับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ตัวอย่างร้อยละ 35.57 ระบุว่า ไม่มีรายได้ ร้อยละ 26.27 มีรายได้ 10,001-20,000 บาท และร้อยละ 19.93 มีรายได้ไม่เกิน 10,000 บาท ตามลำดับ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน
สถาปนาเขตพื้นที่คุ้มครองฯ ชาติพันธุ์ชุมชนชาวเลโต๊ะบาหลิว

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น