นายประภาศ กล่าวย้ำว่า วันนี้ ที่ต้องมีการชะลอการลงนามออกไป เหตุผลสำคัญคือ ถ้ามีการลงนาม ก็เป็นสิทธิโดยชอบที่กรมธนารักษ์ จะลงนามในวันนี้ และผมยืนยันว่า เป็นการกระทำที่ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ ไม่มีอะไรที่เป็นความผิดเลยนะครับ ที่จะลงนามในสัญญา อันนี้เรียนยืนยันเลย แต่เนื่องจากสังคมยังมีข้อสงสัยอยู่ ยังมีการตั้งประเด็นต่างๆ ก็เลยใช้เวลาอีกนิดนึงเพื่อทำความเข้าใจตรงนี้ เพื่อจะได้สบายใจกันทุกฝ่าย
ผู้สื่อข่าวถามว่า การเลื่อนครั้งนี้ เพราะมีคำสั่งจากใครไหม อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า เรามีการหารือกันในคณะของผู้บริหารของกรม และต้องหารือผู้ใหญ่ด้วย แต่ไม่มีการสั่งนะครับ แต่เมื่อมันมีกระแสโดยเฉพาะช่วงเมื่อเช้า รู้สึกจะร้อนแรงมาก ผมก็เห็นว่า เราจะหาทางออกยังไง ลดกระแสตรงนี้อีกสักนิดไหม และผมเรียนผู้บังคับบัญชาทั้งหมด ทั้งนี้ ทั้งนั้น การตัดสินใจเป็นอธิบดี พร้อมยืนยัน “ไม่มีคำสั่งจากผู้ใหญ่ในรัฐบาล”
ส่วนที่มีคำถามว่า จากปัญหาต่างๆ มีโอกาสล้มประมูลหรือไม่ นายประภาศ กล่าวว่า จะล้มเพราะอะไร ผมยังมองไม่เห็นเลย ถามว่าถ้าล้มขึ้นมา เรามีเหตุอะไรที่จะล้ม ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ถามว่าอยู่ๆ จะไปล้มเพราะมีกระแสร้อนแรงอย่างนี้เหรอ เป็นไปไม่ได้เลย ส่วนการจะถึงขั้นล้มรัฐบาลไหม อันนั้นเป็นเรื่องทางการเมือง ผมไม่ก้าวล่วง แต่เราในฐานะข้าราชการประจำ ก็ทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุด เรื่องทางการเมืองก็ว่าไปตามการเมือง
อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวชี้แจงต่อสังคมด้วยว่า การดำเนินการเรื่องนี้ ไม่ใช่เป็นการเร่งร้อน หรือร้อนรน ต้องเข้าใจว่า เราต่างฝ่ายต่างก็ทำหน้าที่ เคารพการตรวจสอบของทุกฝ่าย ขณะที่ทางฝ่ายค้านก็มีสิทธิตั้งข้อสงสัย หรือถ้ามีหลักฐานในเรื่องการตรวจสอบก็เป็นความชอบธรรม แต่ในฐานะผู้ปฏิบัติถ้าเราเพิกเฉยก็เกิดปัญหา
ส่วนที่ว่า ทำไมกรมธนารักษ์ยังเดินหน้าลงนาม เพราะเมื่อเกิดคดีขึ้นในศาล ความจริงแล้วก็ควรต้องหยุด แต่เหตุที่ต้องหยุดเกิดได้เพราะ หนึ่ง มีกฎหมายกำหนดไว้ชัดเจนว่า ถ้ามีคดีพิพาทในศาลแล้วให้หยุดการดำเนินการไว้ นั่นคือเหตุที่จะหยุดได้ สอง ถ้าไม่มีกฎหมายเขียนไว้ ก็จะต้องมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวของศาล
คู่สัญญารายเดิมของกรมธนารักษ์ ขอคุ้มครองทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรก ศาลยก , สอง ศาลไม่รับ ครั้งที่สาม ศาลยก คราวนี้ พอมันเป็นอย่างนี้ถามว่ากรมธนารักษ์จะหยุดได้ไหม เนื่องจากในกฎหมาย หรือกฎกระทรวงกำหนดไว้ชัดเจนเลยครับ ว่า ถ้าผ่านคณะกรรมการที่ราชพัสดุแล้ว กรมธนารักษ์จะต้องจัดให้มีการลงนามในสัญญา ไม่มีอะไรที่บอกว่า หากมีคดีพิพาทกันอยู่ให้หยุด หรือว่า ศาลสั่งไม่คุ้มครอง นอกจากนี้ สาเหตุที่ไม่มีเหตุผลต้องชะลอคือ อาจเป็นการกระทำผิดตามพ.ร.บ.รับผิดทางละเมิด ได้
อธิบดีกรมธนารักษ์ เปิดเผยถึง ผลตอบแทนที่จะได้รับ ณ วันลงนามในสัญญาบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก รวมเป็น 743,623,856 ล้านบาท นั้น แบ่งเป็น
– ค่าแรกเข้าเพื่อทำสัญญา จำนวน 580 ล้านบาท
– ผลประโยชน์ตอบแทนรายปี (Fixed Fee) ปีที่ 1 จำนวน 44,644,356 ล้านบาท
– หลักประกันสัญญา จำนวน 118,979,500 ล้านบาท
และผลประโยชน์ตอบแทนที่จะต้องจ่ายในวันส่งมอบทรัพย์สิน อีก 870 ล้านบาท โดยผลประโยชน์ตอบแทนตลอดอายุสัญญา (30 ปี ) อยู่ที่ 25,693.80 ล้านบาท
ขณะที่ รายได้ที่ บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ จ่ายให้กรมธนารักษ์ ตั้งแต่ปี 2537 -2564 เป็นเงินจำนวน 600.89 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าว ได้ถามถึงประเด็นที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทที่ชนะประมูลโครงการนี้ ไม่มีประสบการณ์ หรือโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่เลย ขณะที่อีสท์ วอเตอร์ ทำมา 30 ปี ทุกอย่างพร้อม แค่ปรับ TOR ก็สามารถเดินหน้าโครงการต่อไปได้ นายประภาศ ถามกลับว่า ถ้าเป็นรายใหม่เข้ามา แล้วจะมีปัญหาในการบริหารหรือ ถ้าอย่างนั้น หมายความว่าต้องเอาเจ้าเดิมอย่างเดียว ไม่ต้องคัดเลือก เพราะฉะนั้น อย่าคาดการณ์ไปก่อน ว่า บริษัทนี้ไม่มีความสามารถ เขาก็มีแผนที่ชัดเจนที่เสนอมา ทุกบริษัทมีความสามารถ อยู่ภายใต้กติกา จริงอยู่ ผู้ที่มีประสบการณ์ ก็จะถูกมองว่ามีความสามารถเหนือกว่า แต่ไม่ได้หมายความว่า อีกฝั่งหนึ่งไม่มีประสบการณ์ เราตั้งสมมติฐานได้อย่างไรว่าเขาไม่มีประสบการณ์ เพราะบริษัทดังกล่าวก็ทำเรื่องท่อน้ำอยู่ ที่ทราบมาจากวงนอกว่าทำกิจการท่อให้กับการประปาฯ เป็นต้น แต่ถ้าเป็นบริษัทที่ไม่เคยทำธุรกิจนี้เลยเข้ามา ก็น่าจะตั้งข้อสังเกตได้ จึงไม่มีข้อกังวลเรื่องนี้