หลังจากนายพงศกร จันทร์แก้ว หรือ อดีตพระกาโตะ พระนักเทศน์ชื่อดัง ขอลาสิขาตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน 2565 เพื่อยุติปัญหา หลังตกเป็นข่าวดังหลังถูกสีกาสาว ออกมาเปิดคลิปเสียง และแชทต่างๆ มากมาย จนสุดท้ายทั้งสองคน ยอมรับว่ามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกัน จนถูกสังคมประณามอย่างกว้างขวาง ถึงความไม่เหมาะสม และความไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ
ข่าวที่น่าสนใจ
เช่นเดียวกับ นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล จิตแพทย์ชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความแสดงความคิดเห็นผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวเช่นกัน โดยระบุว่า ถ้าบาปตั้งแต่เริ่มต้นคิดที่จะบวช สุดท้ายกรรมก็ตามมาจริงๆ ทำไมอ่านแล้วรู้สึกงงๆและตัวเองดูเหมือนคนอ่านโง่ๆ ใครรู้สึกเหมือนผมบ้าง ถ้าไม่ได้ติดตามข่าวอะไรมาเลย แล้วมาเห็นข่าวนี้ก็คงรู้สึกว่าเป็นข่าวธรรมดา ของพระรูปหนึ่ง ที่ลาสิกขาไป จริงๆท่านก็เป็นพระมีชื่อเสียง เคยเห็นใน Social Media มาเรื่อยๆตั้งนานแล้วเป็นปีๆ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกชอบ หรือว่าชื่นชม เพราะปกติแล้วพระหลายรูปที่ดูแล้วชอบเล่น(หูเล่นตา)ใน Socialmedia หรือชอบพูดตลกเกินงาม ดูไม่ค่อยสำรวม ส่วนใหญ่ตนไม่ปลื้ม แล้วก็มักจะ “คาดเดาอนาคตได้” ว่าจะจบลงอย่างไร ซึ่งก็ไม่ผิดสักรูป แต่ก็ต้องใช้เวลาติดตามดูพอสมควรบางรายก็ดูเป็น 10 ปี
เผอิญตนเป็นคนติดตามข่าวค่อนข้างเยอะ ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวที่หมิ่นเหม่ แล้วก็มีโอกาสจะเกี่ยวข้องกับพระรูปนี้ค่อนข้างเยอะมาก มีหลักฐานออกมาใกล้เคียงเจ้าตัวมาก แต่ก็ยังปฏิเสธเสียงแข็ง จนทำให้แฟนคลับและญาติโยม ที่ปลื้มอยู่ต่างสบายใจไปตามๆกันแต่ส่วนตัวไม่รู้สึกสบายใจเลย เพราะคิดว่าแนวโน้มใช่แน่ๆ แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ตอนนั้นก็สนับสนุนให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับความจริง ต่อสู้อย่างสง่างามสิครับ ก็ในเมื่อถูก”อุปโลกน์” ขึ้นมาเป็นพระนักเทศน์ที่มีชื่อเสียงแล้วไปอบรมสั่งสอน คนนู้นคนนี้มากมายตัวเองจะยอมแพ้ทำไม?? หรือทุกอย่างที่ทำอยู่คือการแสดงช่างฉาบฉวยจริงๆนะครับ
เพราะฉะนั้น ตนจึงอ่านแล้วไม่เข้าใจว่า”บวชเพราะโยมแม่” แล้วก็”หวังพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ให้กับโยมแม่” นี่คืออะไร? สงสารโยมแม่มากครับถ้าจุดเริ่มต้นไม่ได้บวชเพื่อใคร แต่บวชเพื่อพระพุทธศาสนาทำจิตใจให้บริสุทธิ์ผ่องแผ้วเข้ามารับใช้พระพุทธศาสนา กล้าแกร่งในพระธรรมวินัย เรื่องบ้าๆบอๆเลวร้ายก็คงไม่เกิดขึ้นหรือแค่เอาพระพุทธศาสนาและความต้องการของโยมแม่มาบังหน้าในการทำมาหากิน แต่สุดท้ายก็ละกิเลสตัณหาของตนไม่ได้ “ความพัง” เลยตามมา
ถ้าบาปตั้งแต่เริ่มต้นคิดที่จะบวช สุดท้ายกรรมก็ตามมาจริงๆ อยากจะบอกว่าคุณไม่ฉลาดเลย ทำอะไรที่โง่เขลาให้เขาจับได้ แล้วก็ต้องมานั่งแถซ้ายแถขวาแถไปแถมาอย่างหน้าทน สุดท้ายก็ไปไม่รอดแถมยังพูดให้ตัวเองดูดีอีกว่าขอลาสิขาเพราะว่า “มีอุปสรรค” คำว่าอุปสรรคหมายถึงอะไร หมายถึงคนที่มาขัดขวางความสุขความเจริญก้าวหน้าของคุณเหรอ และในความเป็นจริง ถ้าไม่ลุกขึ้นต่อสู้กับ “ข่าวคาว” ที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นเรื่องจริงแสดงว่าคุณอาบัติปาราชิกไปตั้งนานแล้ว ไม่สมควรอยู่ในสมณเพศมาตั้งนานแล้วหรือเปล่า จะมาสร้างพิธีกรรมประดิดประดอยคำพูดให้ดูดีเพื่อหลอกประชาชน ก็ไม่เข้าใจว่าพระผู้ใหญ่ให้มาทำพิธีเพื่ออะไร ก็ในเมื่อขาดคุณสมบัติไปตั้งนานแล้ว เห็นดีเห็นงาม โดนหลอก มีผลประโยชน์ หรือเล่นเส้นกันไปมา พระพวกนี้แหละยิ่งน่ากลัวกว่า”พระนวกะ” เสียอีก
ไปดูตัวอย่างพระอาจารย์ดังๆบางรูป เขารู้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะมีโอกาสทำผิดพลาดในเรื่องของสีกาก็เลยขอลาสิกขาบทออกไป แล้วใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชนอันนั้นเราก็ว่าท่านไม่ได้เพราะว่าเป็นสิทธิ์ของท่าน อย่างมากก็แค่ทำให้ลูกศิษย์ลูกหาผิดหวัง และสุดท้ายท่านก็ไปใช้ชีวิตในเพศฆราวาสอย่างเงียบๆ แม้คนจะซุบซิบนินทาบ้างแต่สุดท้ายเขาก็เงียบไป และไม่ได้เป็นการทำลายพระพุทธศาสนา
สำหรับผม คนเราถือว่ามีบุญมากนะที่ช่วงหนึ่งในชีวิตได้เข้ามาศึกษาพระธรรมวินัยและรับใช้พระพุทธศาสนา แต่ทุกอย่างก็เป็นสัจธรรม เข้ามาแล้วก็จากไปได้ อันนี้ก็เป็นหลักทางพุทธศาสนาอยู่แล้ว แต่ถ้าเข้ามาทำลาย จะด้วยตั้งใจหรือผิดพลาด ก็ถือว่าศีลไม่เสมอกัน ก็ต้องกระเด็นกระดอนออกไปสักวัน
ส่วนตัวไม่มั่นใจว่าจิตใจที่คิดไม่ดีแบบนี้ตั้งแต่ต้น แล้วต้องไปดำรงตนในฐานะฆราวาสทั่วไป จะเอาตัวรอดได้ตลอดรอดฝั่งจริงๆหรือเปล่า
เพราะสีกาก็ใช่ย่อย แล้วขอสักทีเถอะ ไอ้ประเภททำเรื่องชั่วๆ แล้วมาจบที่ไบโพลาร์นี่ จิตแพทย์ไม่ปลื้มครับ หยุดทำร้ายผู้ป่วยจิตเวชเสียที มันมีอีกโรคหนึ่งที่อนุญาตให้ยืมไปใช้ได้ก็คือ “โรคไบจัญร่า” ครับ ใช้ให้เต็มที่ไปเลยในฐานะฆราวาสทั่วไปที่ไม่ได้อยู่ในเพศบรรพชิตแต่ก็ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามากพอสมควรก็อยากจะฝากถึงพวกที่ชอบเอาพระพุทธศาสนามาบังหน้าว่า
“… ตอนไปบวชไม่ต้องคิดหรือประดิดประดอยคำอะไรมากมายให้ปวดหัว พึงคิดอยู่อย่างเดียวว่า เข้ามาบวชแล้ว ใจต้องแข็งกว่าจู๋ ถ้าทำไม่ได้ก็บรรลัยทุกคน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
