ฉากหน้าที่คอยแต่จะฟาดฟันทุกสถานการณ์ กับบทบาทนักการเมืองที่ทำให้ทุกคนรู้จัก “สิระ เจนจาคะ” กันทั่วบ้านทั่วเมือง เมื่อลองย้อนกลับไปฟังปูมหลัง ที่เจ้าตัวยอมเล่าเองจากปาก ก็ทำให้ได้รู้ว่า กว่าจะมาเป็น “สิระ เจนจาคะ” อย่างทุกวันนี้นั้นไม่ง่ายเลย
“สิระ เจนจาคะ” พื้นเพเป็นคน จังหวัดนครสวรรค์ฐานะที่บ้านเรียกได้ว่า “จนที่สุดในอำเภอ” มีพี่น้องร่วมท้องรวม 14 คน ใช้ชีวิตแบบ “แทบไม่มีจะกิน” เมื่อเค้าเรียนจบชั้น มศ.3 ก็ต้องหยุดเรียนกระทันหันเพราะที่บ้านอยากให้ทำงานหาเงินมาจุนเจือครอบครัว เหตุนี้เองทำให้เค้าฉุกใจคิด และมองการใช้ชีวิตของผู้เป็นพ่อว่า ถ้ายังจมปรักอยู่นครสวรรค์ ก็คงจะไม่ไปถึงไหน จึงตัดสินใจเก็บเสื้อผ้าขึ้นรถไฟหนีเข้ามาในเมืองหลวง
“ผมอยากเรียนหนังสือมาก จนต้องหนีเข้ากรุงเทพ เริ่มแรกอาศัยนอนวัด กินข้าววัด และเรียนในโรงเรียนมักกะสันวิทยา ระหว่างเรียนก็ออกไปหางานทำ งานไหนที่ได้เงินไม่มีเกี่ยง แม้กระทั่งเข้าไปอยู่ในสนามม้า ไปจดโต๊ะบอล รู้ว่าผิดกฎหมายแต่ก็ทำ เพื่อที่จะมีเงินโอกาสได้เรียน ได้มีอาชีพ ไว้จุนเจือครอบครัว ท้ายที่สุดก็เรียนจบ มศ.5 ” สิระ ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวTop News
หลังจากเรียนจบในวัยเพียง 19 ปี “สิระ” ผันตัวเองไปเป็นเซลล์ขายของ เปลี่ยนสินค้าไปเรื่อย เริ่มตั้งแต่ ขายเสื้อผ้า ขายเครื่องดนตรียามมาฮ่า แบรนด์สยามกลกาล กระทั่งกระโดดมาเป็น เซลล์ขายรถยนต์ จนมีโอกาส ได้ขายรถยี่ห้อ “เมอร์เซเดสเบนซ์” “สิระ” บอกว่า จุดนี้เอง ทำรู้จักคนมีเงิน ได้สัมผัสกับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ในวันที่ตัวเค้าเองยังเงินเดือนเพียงแค่ 5 พันบาท กับค่าคอมฯ 2 พันบาท จากการขายรถได้ต่อคัน
“จากนั้นมาผมก็ได้ย้ายไปเป็นผู้จัดการขายรถยนต์ยี่ห้อวอลโว่ ซึ่งก็ทำได้ไม่นาน เพราะเกิดมีปากเสียงกับเจ้าของโชว์รูม ตัดสินใจลาออกมาเปิดโชว์รูมรถเป็นเจ้าของเองโดยเริ่มต้นจากเงิน 3 หมื่นบาท พร้อมขอเครดิตรจากดีลเลอร์ทั่วประเทศ สรุปว่าการทำธุรกิจไปได้สวย มีเงินนับร้อยล้าน รวยสมความตั้งใจที่คิดไว้” สิระ เล่าให้เราฟัง
ชีวิตสะดวกสบาย มีเงินทองรวยอู้ฟู่ ทำให้ “สิระ” มีเพื่อนฝูงวิ่งเข้าหา คบเพื่อนนักเลงหัวไม้ ตกเข้าไปอยู่ในวงเวียนผีพนัน ติดการพนันจนโงหัวไม่ขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจกว่าร้อยล้านที่สร้างมากับมือต้องพังลงไปในพริบตา พร้อมหนี้ก้อนโตอีก 3 ล้านบาท ชีวิตตกอับถึงขั้นต้องใช้สนามหลวงเป็นที่ซุกหัวนอน
“ตอนนั้นรู้สึกผิดมาก ทำให้ครอบครัวพ่อแม่ คนรอบตัวเดือดร้อนไปตามๆกัน จากที่เราเคยเป็นเสาหลัก เคยส่งเสียเลี้ยงดูที่บ้าน มาวันนี้ต้องลำบากกันหมด ณ วันนั้น ต้องเรียกว่าถึงขั้นล้มละลาย ไม่กล้าหันหน้าไปขอความช่วยเหลือใคร ตัดสินใจไปอาศัยนอนที่สนามหลวง อาบน้ำอาบท่าใต้สะพานพระปิ่นเกล้า เวลาฝนตกก็ขึ้นรถเมล์ จ่ายค่าโดยสาร 2 บาท วนไปจนสุดทางเพื่อหลบฝน และหาเงินกินข้าวโดยการเก็บชวดขาย “
หลังจากนั้น “สิระ” ตัดสินใจเผชิญหน้ากับเจ้าหนี้ ที่เป็นนายตำรวจใหญ่ในพัทยา ชลบุรี พร้อมขอโอกาสทำงานในโรงพัก ไปเป็นตีนโรงตีนศาล วิ่งเต้นคดี ช่วยประกันตัวผู้ต้องหา จนภายใน 6 เดือน สามารถชดใช้หนี้ 3 ล้านบาทได้ครบ
“ หลังจากนั้นเป็นต้นมาได้เปิดออฟฟิศทนายความปรึกษาด้านกฎหมาย ขณะนั้นมีทนาย 5 คน โดยมีผมเป็นเจ้าของ การดำเนินงานก็รุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง เพราะเราทำคดีที่เรารู้จักตำรวจ รู้จักอัยการ รู้จักศาล ซึ่งกลไกข้อมูลเชิงลึกเรามี ถือว่าได้เปรียบคนอื่น แต่สุดท้ายออฟฟิศทนายก็ปิดตัวลงไปเพราะรู้สึกว่าไม่อยากจะทำต่อ“
จากนั้นธุรกิจใหม่ของเค้าได้เริ่มขึ้นอีกครั้งด้วยเงินทุนเพียง 9 หมื่นบาท นำมาซื้อเศษไม้ทำศาลาขาย เพราะก่อนหน้านี้สมัยอาศัยนอนที่สนามหลวง หรือป้ายรถเมล์ ตัวเค้าเองเคยฝันไว้ว่าอยากจะทำศาลาดีๆ สวยๆ คนที่ประสบปัญหาชีวิต ไร้บ้าน จะได้มีหลังคาหลบแดด หลบฝน
“พอเริ่มมีเงินขึ้นมา ผมก็ค่อยๆสร้างทีละหลังๆ จนเต็มถนนแจ้งวัฒนะ และตามโรงเรียนก็สร้างศาลาองค์พระ เพื่อให้คนมากราบไหว้พระ ควบคู่ไปกับการทำธุรกิจด้านนี้อย่างจริงจัง ครั้งนั้นผมรู้จักใช้ชีวิตมากขึ้น และไม่กลับไปใช้ตรรกะความคิดกล้าได้กล้าเสียแบบเดิมๆ ไม่เอาชีวิตไปเสี่ยง เพราะมันไม่คุ้ม จึงบอกกับตัวเองว่าจากนี้ไปจะไม่ประมาทในการใช้ชีวิตอีกแล้ว”
นับจากวันนั้นเป็นต้นมา “สิระ” ได้ลุยทำธุรกิจอีกหลายอย่างกระทั่งถูกชักนำเข้าสู่แวดวงการเมือง และมีชื่อเสียงโด่งดังสุดด้วยลีลา “ปะฉะดะ” เดินหน้าชนทุกสถานการณ์ ทว่าหลายๆคนที่รู้จักเค้าในวันนี้ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ปมชีวิตที่ผ่านมาในอดีตของเค้าเคยผ่านความยากลำบากและตกต่ำถึงขีดสุดมาแล้ว.