ข่าวที่น่าสนใจ
สืบเนื่องจากกรณีที่เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา เกิดข่าวสลดเมื่อเด็กผู้หญิงอายุเพียง 11 ขวบ เสียชีวิตหลังเกิดเหตุถูก มด ตะนอย กัด ซึ่งหลังจากเกิดเหตุนั้นในวันรุ่งขึ้นตัวผู้เสียชีวิตก็มีอาการปวดบริเวณแผลที่กัด ปวดหัว อาเจียน ก่อนจะไปหาหมอและรับยากลับมาดูอาการที่บ้าน แต่ช่วงบ่ายวันต่อมาผู้เสียชีวิตกลับมีอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลและทำการปั๊มหัวใจช่วยชีวิตตลอดทั้งคืน แต่สุดท้ายไม่สามารถยื้อชีวิตได้จนเป็นเหตุให้เสียชีวิตนั่นเอง งานนี้หลายคนจึงกลับมาให้ความสนใจเกี่ยวกับภัยร้ายจากมดชนิดนี้อีกครั้ง
โดยทางด้าน กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้เปิดเผยความรู้เกี่ยวกับมดชนิดนี้ไว้ว่า ลักษณะ มด ตะนอย ลำตัวยาวประมาณ 5 มิลลิเมตร ส่วนหัวและส่วนท้องเป็นสีเข้มเกือบดำ ส่วนอกเป็นสีน้ำตาลเหลืองจนถึงสีส้ม รอยต่อระหว่างอกและท้องมีลักษณะเป็นปุ่มนูน 2 ปุ่มมีสีน้ำตาลเหลืองจนถึงสีส้มเช่นกัน หนวดมี 12 ปล้อง กรามมีขนาดใหญ่ ท้องมีลักษณะเป็นรูปไข่ โดยที่ปลายท้องจะมีเหล็กในยื่นออกมาให้เห็นได้เด่นชัด ชอบทำรังอยู่บริเวณบนต้นไม้ใหญ่และต้นไม้ที่ตายแล้ว โดยจะเห็นเป็นโพรงอยู่ภายในต้นไม้ มดชนิดนี้จะกินซากแมลงเล็ก ๆ เป็นอาหารและจะออกหากินอยู่บริเวณต้นไม้และพื้นดินใกล้เคียงที่อาศัย ดังนั้น จึงควรระมัดระวังและหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีมดตะนอยทำรังอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามต้นไม้ใหญ่ หรือต้นไม้ที่ตายแล้ว
สำหรับ อันตรายของ มด ตะนอย เกิดจากการที่มดชนิดนี้ต่อยด้วยเหล็กใน ซึ่งการต่อยของมดจะแตกต่างจากผึ้ง คือมดเมื่อต่อยแล้วจะสามารถดึงเหล็กในกลับ ทำให้สามารถต่อยได้หลายครั้ง ผู้ถูกต่อยจะถูกต่อยซ้ำ ๆ ด้วยมดตัวเดิม ในขณะที่ผึ้งจะต่อยเพียงครั้งเดียวแล้วทิ้งเหล็กในไว้ที่แผลของผู้ถูกต่อย เหล็กในที่ยื่นออกมาจากปลายท้องมดจะเชื่อมต่อกับต่อมพิษที่อยู่ภายในท้อง ซึ่งต่อมพิษจะผลิตสารประกอบโปรตีนและสารอัลคาลอยด์ และสารที่ทำให้ผู้ถูกต่อยเกิดอาการแพ้คือสารประกอบพวกโปรตีน โดยสารโปรตีนเหล่านี้จะทำให้ผู้ถูกต่อยมีอาการต่างๆ เช่น เจ็บปวดบริเวณแผล แน่นหน้าอก หายใจไม่ออก อาเจียน ซึ่งหากบางรายที่แพ้รุนแรงถ้ารักษาไม่ทันอาจทำให้เสียชีวิตได้ และไม่เฉพาะแต่มดชนิดนี้เท่านั้นที่มีเหล็กในและมีต่อมพิษ มดชนิดอื่น ๆ เช่นมดคันไฟก็มีสารพิษที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ได้เช่นกัน
วิธีปฐมพยาบาล มด ตะนอย กัด ทำได้ดังนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
