4 ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ดีเบต แสดงวิสัยทัศน์ดูแลผู้พิการในกทม.

4 ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ดีเบต ที่ “ท็อปนิวส์” แสดงวิสัยทัศน์ดูแลผู้พิการในกทม. ย้ำทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน เดินหน้าขยายโอกาส สร้างงานสร้างอาชีพ เข้าถึงโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

วันที่ 7 พ.ค. 65 ที่สตูดิโอ 1 สถานีโทรทัศน์ ท็อปนิวส์ ธนาซิตี้ ต.บางโฉลง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ได้จัดเวทีศึกดีเบต 4 แคนดิเดตผู้ว่าฯ กทม. ประกอบด้วย นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ในนามอิสระ นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. ในนามอิสระ และน.ต.ศิธา ทิวารี ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. สังกัดพรรคไทยสร้างไทย โดยมีนายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ประธานกรรมการบริหาร สถานีโทรทัศน์ท็อปนิวส์ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน และมีนายวรเทพ สุวัฒนพิมพ์ ผู้ประกาศข่าว สำนักข่าว Top News เป็นผู้ดำเนินรายการ ท่ามกลางบรรยากาศกองเชียร์จากผู้สมัครทั้ง 4 คนที่มาร่วมให้กำลังใจอย่างคึกคัก

โดยคำถามที่สามเป็นคำถามของนายพัฒน์ธนชัย สระกวี นายกสมาคมประชาคมคนตาบอดไทย สอบถามถึงนโยบายในการส่งเสริมและสนับสนุน สิทธิ สวัสดิการ และพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการอย่างไรบ้าง

ทั้งนี้พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวว่า ตนยืนยันว่าสิทธิการเป็นมนุษย์ของทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เพราะฉะนั้นโครงสร้างพื้นฐานของกรุงเทพมหานครต้องรองรับคนพิการด้วย ซึ่งที่ผ่านมาตนได้ทำทางเชื่อมให้คนพิการสามารถขึ้นรถไฟฟ้าได้ แม้กระทั่งทางลาดหรือทางม้าลาย จากเดิมคนที่นั่งรถเข็นไม่สามารถใช้พื้นที่ได้ เพราะเป็นพื้นต่างระดับ เราก็ได้ทำทางลาดให้ผู้พิการสามารถใช้ได้ เช่นบริเวณถนนพระราม1 ได้ปรับปรุงแล้วให้ผู้พิการสามารถใช้ได้ทั้งหมด ส่วนเรื่องการศึกษาตนได้จัดห้องเรียนในกรุงเทพมหานครให้มีการเรียนร่วมกับผู้พิการทางสายตา ผู้พิการทางหู และผู้พิการทางร่างกายอื่นๆ โดยผู้พิการทางสายตาเรามีเครื่อง เปรียบเสมือนเป็นพี่เลี้ยงช่วยอ่านหนังสือให้ฟัง และมีหนังสือที่มีตัวอักษรเบลให้สามารถอ่านได้ด้วย เราไม่ได้คิดแต่เราทำแล้ว สำหรับเรื่องอาชีพของผู้พิการที่ขาดโอกาส กทม.มีโรงเรียนฝึกอาชีพ 10 กว่าแห่ง ที่ผ่านมาตนได้เชิญผู้ประกอบการเข้ามาช่วยกันออกแบบและกำหนดหลักสูตรร่วมกันระหว่างโรงเรียนและสถานประกอบการ เพื่อให้สามารถนำผู้พิการไปทำงานได้ด้วย เพื่อเป็นการสร้างอาชีพให้กับคนพิการ ส่วนเรื่องการเดินทางเราจะมีรถพิเศษให้เป็นรถตู้ ซึ่งตอนนี้มีอยู่แล้ว 30กว่าคันสามารถขึ้นได้ฟรี และต่อไปจะปรับเปลี่ยนให้เป็นรถพลังงานสะอาดที่ใช้พลังงานไฟฟ้า พร้อมทั้งเพิ่มจำนวนรถให้เพียงพอและรองรับกับผู้พิการในกทม.ด้วย ส่วนเรื่องการรักษาพยาบาล ตนจะเพิ่มโรงพยาบาลประจำเขต โดยสาธารณสุขกรุงเทพมหานครปัจจุบันมี 9 แห่ง จะขยายให้เป็นโรงพยาบาลประจำเขต ซึ่งอย่างน้อย 1 เขตต้องมี โรงพยาบาล และบางเขตอาจจะมากกว่า 1 โรงพยาบาล อีกทั้งมีเลนพิเศษ หรือฟาสเลนให้บริการ เป็นสิทธิพิเศษกับผู้พิการ จะได้ไม่ไปรอคิวกับผู้ใช้บริการทั่วไป นอกจากนี้จะส่งเสริมการศึกษาในชุมชนให้กับผู้พิการด้วย เพราะคนพิการก็เหมือนประชาชนคนทั่วไปไม่ได้มีความแตกต่างอะไร

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ขณะที่น.ต.ศิธา กล่าวว่า คนพิการมักถูกทิ้งไว้ข้างหลัง เราต้องให้ความสำคัญกับคนพิการ และสิ่งปลูกสร้างที่เกิดขึ้นในกรุงเทพมหานคร เพื่อให้คนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเหล่านี้ สามารถเข้าไปใช้ร่วมกับคนอื่นๆได้ กรุงเทพมหานครมีหลายหน่วยงาน มีโรงเรียนฝึกอาชีพ และมีส่วนราชการต่างๆ สามารถเข้าไปดูและฝึกอาชีพให้กับคนพิการ รวมถึงกทม.ต้องไปประสานสถานที่ราชการในกทม.ให้ความสำคัญกับคนพิการเหล่านี้ รับเข้าทำงาน อีกทั้งเรื่องการอนุญาตให้ใช้สุนัขจูงกับคนพิการทางสายตา ที่ผ่านการฝึกมาแล้วจะต้องได้รับการอนุญาตให้พาผู้พิการทางสายตาเข้าไปยังสถานที่ต่างๆได้ ตนเชื่อว่าคนพิการมีหลายอย่างเก่งกว่าคนปกติ เราต้องใช้เขาให้เป็นประโยชน์ ทุกวันนี้กรุงเทพมหานครลงทุนกับสิ่งปลูกสร้างใหญ่ๆ แต่ยังทำให้ว่ามีความเหลื่อมล้ำปรากฏทุกที่ และเกิดความไม่เสมอภาค เช่นสกายวอร์คต่างๆ คนพิการเข้าไม่ถึงกับสิ่งที่เราลงทุนไป ดังนั้นเราต้องดูแลคนเหล่านี้ให้สามารถใช้ชีวิตได้ เราต้องช่วยเหลือกันสะพานลอยต่างๆ ลดขนาดเพื่อทำทางขึ้นให้กับคนพิการให้ได้

 

นายสกลธี กล่าวว่า หลายคนทักว่าทำไมตนลาออกจากตำแหน่งรองผู้ว่าฯกทม.ช้า นั้นก็เพราะมีสองสามเรื่องที่ตนทำอยากทำให้สำเร็จก่อน คือเรื่องของคนพิการ ทั้งนี้จากที่พูดคุยกับคนพิการเขาไม่อยากได้เงินหรือความเห็นใจ แต่อยากได้โอกาสที่จะได้ทำงานเหมือนกับคนทั่วไป และอยู่ได้ด้วยฝีมือ สองขา สองมือ และหัวใจของตัวเขาาเอง ดังนั้นการให้โอกาสในเรื่องการทำงานถือเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคนพิการ ตอนตนเป็นรองผู้ว่าฯกทม.คิดว่าการจ้างงานสำคัญและมีกฎหมายตัวหนึ่งของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ที่หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนต้องจ้างคนพิการในที่ทำงานอย่างน้อย 1% ไม่เช่นนั้นจะต้องจ่ายเงินให้กองทุนคนพิการ แต่กลับไม่มีหน่วยงานไหนสามารถทำได้เลย ตนจึงได้ผลักดันเรื่องนี้ให้กรุงเทพมหานครจ้างงานคนพิการไปแล้ว 300 กว่าตำแหน่ง คิดว่าภายในเดือนพ.ค.นี้จะทยอยจ้างเพิ่มมากขึ้น และปกติการจ้างงานต้องมีเงื่อนไขต่างๆมากมาย โดยเฉพาะจะต้องจบปริญญาตรี แต่ข้อเสนอของเราคือสามารถจ้างได้ตามวุฒิทุกวุฒิ ทำให้ไม่มีข้อจำกัดในการรับคนพิการเข้ามาทำงาน หากตนได้เป็นผู้ว่าฯกทม.จะจ้างเพิ่มอีกทุกที่ ทุกเขต ทุกสำนักต้องมีคนพิการ เพราะเค้าก็มีศักดิ์ศรีในชีวิต อีกทั้งที่ผ่านมาตนยังได้ทำเว็บไซต์ขึ้น เพื่อให้คนพิการกับคนที่อยากหาคนพิการมาทำงานได้มาเจอกัน ตอนนี้สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์สมาคมคนออทิสติก สำหรับการฝึกอาชีพที่ผ่านมาตนได้นั่งหัวโต๊ะประชุมกับพระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษน์ เพื่อขอเงินสมาคมคนพิการ เพื่อทำโรงเรียนฝึกอาชีพให้กับคนพิการโดยเฉพาะ เพราะคนพิการไม่สามารถเรียนร่วมกับคนปกติได้อย่างมีประสิทธิภาพ คนที่คนพิการไม่ต้องการอะไรมาก แต่ต้องการสิทธิ์ของความเป็นมนุษย์และสามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเอง หากตนเป็นผู้ว่าฯกทม. คนพิการจะมีศักดิ์ศรีและยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้อย่างเต็มที่

 

 

ด้านนายสุชัชวีร์ กล่าวว่า ทุกวันนี้อย่าว่าแต่ผู้พิการเลย คนธรรมดาทั่วไปในกทม.ก็ยังลำบาก ดังนั้นกรุงเทพฯต้องเปลี่ยน การเข้าถึงสำหรับผู้ที่เป็นผู้พิการที่สำคัญที่สุดมี4 ข้อที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตให้เขาอยู่ในเมืองนี้ได้อย่างเท่าเทียมกัน ข้อ1.คือการเข้าถึงทางกายภาพ เพราะฟุตบาทถนนยังไม่เรียบร้อย หากมีผู้ว่าฯกทม.ชื่อสุชัชวีร์จะมีการเปลี่ยนแปลงแน่นอน แล้วตนจะดูแลเอง ฟุตบาทในกทม.ต้องได้มาตรฐาน ไม่ใช่เฉพาะผู้พิการ แต่ทุกคนต้องเดินได้อย่างเรียบร้อยเท่ากันทุกคน และอาคารที่ขออนุญาตก่อสร้างในกทม.จะต้องปรับปรุงเพื่อรองรับกับผู้พิการด้วย 2.การเข้าถึงเรื่องการศึกษา ตนตั้งใจว่าตั้งแต่ชั้นเด็กเล็ก อนุบาล ประถม มัธยม โรงเรียนในกรุงเทพมานครต้องเป็นต้นแบบในการดูแลคนพิการ ครูต้องมีความรู้และมีความเข้าใจ เข้าถึงและต้องดูแลคนที่ดูแลผู้พิการด้วย ขอให้มั่นใจว่าโรงเรียนในกรุงเทพมานครจากนี้ไปจะดูแลลูกหลานท่านตั้งแต่ช่วงต้นจนจบมหาวิทยาลัยอย่างเท่าเทียมกัน 3.ผู้พิการต้องเข้าถึงการอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ตนตั้งใจทำให้กรุงเทพฯเป็นบางกอกจ๊อบเซ็นเตอร์เพื่อให้นายจ้างและผู้พิการได้มาพบกัน เพราะนโยบายของตนคือผู้พิการต้องได้งาน และกรุงเทพมานครจะเป็นต้นแบบในการรับผู้พิการเข้ามาทำงาน ไม่ใช่เฉพาะเขตหรือศาลาว่าการ แต่จะมีโรงเรียนและหน่วยงานต่างๆด้วย 4.ผู้พิการต้องการเข้าถึงการดูแลสุขภาพสาธารณสุขมากกว่าคนปกติ แต่ปัจจุบันศูนย์บริการสาธารณสุขไม่ได้มีการลงทะเบียนให้กับผู้พิการและไม่มีประวัติเขามาก่อน เช่นเดียวกับโรงพยาบาลในกทม.11 แห่ง วันนี้ก็ยังไม่มีหน่วยดูแลผู้พิการอย่างจริงจัง ถึงเวลาแล้วเราต้องดูแลผู้พิการครบวงจรอย่างเป็นรูปธรรม

 

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น