นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า จากการระดมฉีดวัคซีน เพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ประชาชนหลายคน มีความสนใจตรวจภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีนนั้น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ขอชี้แจงว่า ในปัจจุบันการตรวจภูมิคุ้มกันที่มีให้บริการยังไม่สามารถบอกได้ว่า ระดับของภูมิคุ้มกันแบบแอนติบอดี ที่ตรวจพบสามารถป้องกันโรคโควิด 19 ได้ อีกทั้ง ประเทศไทย มีระบบการติดตามกลุ่มผู้ได้รับวัคซีนอยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่ประชาชน จะต้องตรวจหาระดับแอนติบอดีหลังได้รับวัคซีน ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำจากองค์การอนามัยโลก และองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐฯ เช่นกัน
นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการศึกษาระดับภูมิคุ้มกันหลังได้รับวัคซีนยังอยู่ในขั้นตอนการศึกษาวิจัย ทั้งการศึกษากลไกของระบบภูมิคุ้มกัน การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันโดยการสร้างแอนติบอดี ระดับของ แอนติบอดี ระยะเวลาในการสร้างแอนติบอดี และระยะเวลาการคงอยู่ของแอนติบอดีในร่างกาย ทั้งนี้ แอนติบอดี ชนิดที่สามารถป้องกันการติดโรคโควิด 19 นั้น เป็นชนิด neutralizing antibody ซึ่งชุดตรวจแอนติบอดี ในท้องตลาดปัจจุบันเป็นชุดตรวจแอนติบอดีโดยรวม จึงไม่สามารถระบุระดับของ neutralizing antibody โดยเฉพาะได้ ทำให้การตรวจด้วยชุดตรวจที่มีในปัจจุบัน ยังไม่สามารถบอกระดับการป้องกัน การติดเชื้อได้ และการตรวจ neutralizing antibody อย่างจำเพาะนั้น จะต้องทำในห้องปฏิบัติการควบคุม ความปลอดภัยระดับสูงเท่านั้น และไม่สามารถตรวจได้ในห้องปฏิบัติการทั่วไป
“การนำชุดตรวจแอนติบอดีมาใช้ ต้องปฏิบัติตามข้อบ่งชี้ในการใช้งาน และชุดตรวจแอนติบอดี จะต้องผ่านการประเมินและรับรอง โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งชุดตรวจแอนติบอดีเหล่านี้ กำหนดให้ใช้ได้เฉพาะในสถานพยาบาล โรงพยาบาล คลินิกเวชกรรม คลินิกเฉพาะทางเวชกรรม คลินิกเทคนิคการแพทย์ นอกจากนั้น การตรวจและการแปลผลการตรวจ ต้องทำโดยบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น เพราะจะต้องพิจารณาข้อมูลอาการ หรือ การตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติมด้วย จึงห้ามไม่ให้ประชาชนหาซื้อมาตรวจด้วยตัวเอง เพราะอาจตรวจผิดพลาด เกิดความเข้าใจผิด และก่อให้เกิดปัญหาในการควบคุมโรคระบาดได้ ดังนั้น เพื่อป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 จึงขอให้ประชาชนปฏิบัติตามคำแนะนำในการป้องกันโรคต่อไป โดยการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ และรักษาระยะห่าง แม้จะได้รับวัคซีน จนครบ 2 เข็มแล้วก็ตาม