วันนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยภายหลังประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ว่า สถานการณ์การติดเชื้อโควิด-19 ดีขึ้น และไทยก็ใกล้เข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นทุกขณะ ทั้งตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อ และตัวเลขอื่นๆ ลดลง โดยไม่ได้วางกรอบไว้ว่าจะต้องเกิดขึ้น ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2565 ซึ่งการป่วยติดเชื้อโควิด กำลังเข้าใกล้คล้ายไข้หวัดไปทุกขณะ ดังนั้นการเดินทางเข้าประเทศ ได้มีการกำหนดให้คนที่ได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มแล้ว ไม่ต้อง RT-PCR และยกเลิก T&G รวมถึงในอนาคตอาจยกเว้นการลงทะเบียน Thailand Plus ในเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากพบว่าการติดเชื้อในผู้เดินทางมีไม่ถึง 10 คน
“อนุทิน” เผยสถานการณ์โควิดใกล้เข้าสู่โรคประจำถิ่นทุกขณะ เร่งหามาตรการเปิดผับบาร์ และให้นักท่องเที่ยวสวมหน้ากาก พร้อมสั่งสอบสวนโรคคนรับวัคซีนครบ 3 เข็มยังเสียชีวิต
ข่าวที่น่าสนใจ
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทุกฝ่ายต่างมีความคิดเห็นตรงกัน ในเรื่องการเดินหน้าเปิดประเทศ และเปิดกิจกรรม,กิจการ ซึ่งตนก็ไม่ได้ได้นิ่งนอนใจเรื่องนี้ ปรึกษากรมควบคุมโรคเพื่อหามาตรการเปิดผับบาร์ และทำอย่างไรให้มีการสวมหน้ากากอย่างต่อเนื่องในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าไทย โดยอาจออกเป็นลักษณะมาตรการที่มาควบคุมพฤติกรรม ให้เคร่งครัดการสวมหน้ากาก แต่รายละเอียดยังต้องรอทางกรมควบคุมโรค ตอนนี้ไม่ได้มีการห้ามทำกิจกรรม หรือ แม้แต่การเลี้ยงรุ่นสังสรรค์ก็ทำได้ เพียงแต่ตรวจ ATK หากพบเป็นติดเชื้อก็แค่หยุดตัวเองกักตัว 10 วันเท่านั้น
สำหรับข้อมูลของคนรับวัคซีน ขณะนี้มีการฉีดวัคซีนให้คนไทยไปแล้ว 135 ล้านโดส ครอบคลุม 80 % ในเข็มที่ 1 และ เข็ม 2 ส่วนเข็ม 3 รับวัคซีนไปแล้ว 40% ซึ่งในการกลุ่มผู้ที่รับวัคซีนเข็มกระตุ้น หรือ เข็ม 3 พบว่ามีอัตราการเสียชีวิต 7% แต่คนที่ได้รับวัคซีนครบ 4 เข็มไม่มีใครเสียชีวิต ดังนั้นเตรียมสั่งให้มีการสอบสวนโรค กรณีผู้เสียชีวิตจากโควิด -19 ที่ได้รับวัคซีนครบ 3 เข็ม ซึ่งผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ เป็นกลุ่มคน 608 เป็นผู้สูงอายุ และบางคนมีโรคร่วม เพื่อให้ทราบสาเหตุการเสียชีวิตที่ชัดเจน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยอีกว่า ขณะนี้ อย.ได้อนุมัติขยายทะเบียนอายุการใช้วัคซีน 2 ชนิด ได้แก่ วัคซีนโคโวแวกซ์ ให้ครอบคลุม 12 ปี ขึ้นไป จากเดิมขึ้นทะเบียนในคนอายุ 18 ปี ขึ้นไป โดยฉีดขนาด 1 โดส และวัคซีนสไปร์กแวค ของโมเดอร์นา ให้ฉีดครอบคลุมอายุ 6 ขวบขึ้นไป ถึง 17 ปี ขนาด 50 ไมโครกรัม หรือ ครึ่งโดส จากเดิมที่ขึ้นทะเบียนฉีดครั้งล่าสุดไว้ที่ 12 ปี ขึ้นไป นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับทางบริษัทแอสตราเซนเนก้า ในการจัดซื้อยา Long Active Antibody หรือ LAAB ซึ่งผ่านการศึกษาในกลุ่มที่ฉีดวัคซีนแล้วภูมิไม่สูง ไม่มีภูมิ เช่นผู้ป่วยโรคไต ผู้ผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะต้องกินยากดภูมิ เป็นต้น พบว่ามีความคุ้มค่า นอกจากนี้ที่ ประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อฯ ยังเห็นชอบแนวทางยุทธศาสตร์การขจัดไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี ออกไปภายในปี 2573
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
-