"ฝีดาษลิง" โรคต้องจับตา มาแรงต่อเนื่อง กรมควบคุมโรค เผยยังไม่มียาหรือวัคซีนรักษาโดยตรง ห่วง คนที่รุ่นใหม่ที่เกิดหลังปี 2523 มีความเสี่ยงสูง
ข่าวที่น่าสนใจ
“ฝีดาษลิง” มาแรง เริ่มแพร่กระจายในหลายประเทศ โดยเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมา ทาง WHO หรือองค์การอนามัยโลก เรียกประชุมฉุกเฉิน หารือเกี่ยวกับโรคดังกล่าว หลังการแพร่ระบาดในครั้งนี้ ครองยุโรปไปแล้วมากถึง 9 ประเทศ และยังได้กระจายไปประเทศอื่น ๆ เช่น สหรัฐฯ ออสเตรเลีย สิงคโปร์ แคนาดา อิสราเอล เป็นต้น
ทางนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า โรคดังกล่าว อาจไม่ใช่โรคแพร่ระบาดใหญ่อย่างโควิดที่ผ่านมา เนื่องจาก การแพร่กระจายเป็นไปได้ยากกว่า ทั้งนี้ ยังคงย้ำว่า อย่าประมาท หากมีอาการเข้าข่ายต้องสงสัยให้รีบพบแพทย์ทันที
ลักษณะอาการป่วย
- การแพร่เชื้อจากคนสู่คนแม้มีโอกาสน้อย แต่อาจเกิดขึ้นได้จากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านทางสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจ ผิวหนังที่เป็นตุ่ม หรืออุปกรณ์ที่มีการปนเปื้อนเชื้อ
- เมื่อคนรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายจะมีระยะฟักตัวประมาณ 7-14 วัน อาจนานถึง 21 วัน
- เริ่มแรกจะมีไข้ ปวดศีรษะ
- ปวดกล้ามเนื้อ ปวดหลัง
- ต่อมน้ำเหลืองโต หนาวสั่น อ่อนเพลีย
- จากนั้นประมาณ 1-3 วัน จะมีผื่นขึ้นบริเวณแขนขา และอาจจะเกิดบนหน้าและลำตัวได้ด้วย
- ผื่นจะกลายเป็นตุ่มหนอง
- ในระยะสุดท้ายตุ่มหนองจะเป็นสะเก็ดแล้วหลุดออกมา
- อาการป่วยจะประมาณ 2-4 สัปดาห์
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะหายจากโรคเองได้
- โดยอาการรุนแรงมักพบในกลุ่มเด็ก ซึ่งในประเทศแอฟริกาพบอัตราการเสียชีวิตประมาณร้อยละ 10
อย่างไรก็ตาม กรมการแพทย์ ย้ำว่า โรคนี้ ยังไม่มียาหรือวัคซีนที่สามารถรักษาได้โดยตรง ย้ำ ห่วง เด็กที่เกิดหลังปี 2523 อาจเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงมากกว่ากลุ่มอื่น เนื่องจาก ไม่เคยได้รับการฉีดวัคซีนไข้ทรพิษมาก่อน ซึ่งการปลูกฝีหรือการฉีดวัคซีนนี้ มีข้อมูลจาก WHO บ่งชี้ สามารถป้องกันฝีดาษ ลิงได้สูงสุด 85%
ข่าวที่เกี่ยวข้อง