“รถไฟฟ้า” กทม.หนี้ท่วม”ชัชชาติ”จะขวาง “นายกฯตู่” ขยายสัมปทานทำได้หรือไม่

กลับมาเป็นประเด็นคำถามใหญ่อีกครั้ง สำหรับอนาคตรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือ รถไฟฟ้า BTS หลังจากการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.เสร็จสิ้นไป และได้ชื่อ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นว่าที่ผู้ว่าฯกทม.คนใหม่ เพราะในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง “ชัชชาติ” อดีตที่ปรึกษากระทรวงคมนาคม สมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร (สมัยที่ 2) และ รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช รวมถึงยังเป็นอดีต รมช. คมนาคม และ รมว.คมนาคม ในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ระบุชัดเจนว่าจะใช้อำนาจการเป็นผู้ว่าฯกทม. ตรวจสอบสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว เพื่อพิจารณาแผนการขยายสัมปทานกับบริษัทเอกชน

ทั้ง ๆ ที่กรณีได้ผ่านกระบวนการของกทม. ตามแนวทางที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยพิจารณาแต่งตั้ง คณะกรรมการศึกษากรณีการขยายสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย ( ช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า , ช่วงอ่อนนุช-สมุทรปราการ และ ช่วงหมอชิต-คูคต ) ระยะทาง 68.25 กิโลเมตร เป็นการเฉพาะ จนได้ข้อยุติไปแล้ว และเรื่องดังกล่าวได้เข้าสู่การพิจารณาของครม.หลายรอบ เหลือเพียงขั้นตอนให้ครม.เห็นชอบอนุมัติ เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ที่โอนย้ายจากรฟม.มาให้กทม.มารับผิดชอบ ได้ก่อหนี้ให้กับกทม.กว่าแสนล้านบาท

กรณีจึงเป็นที่มาของข้อคำถาม ว่าที่ผู้ว่าฯกทม.จะสามารถดำเนินการในกรณีนี้ได้หรือไม่ อย่างไร และจะเป็นผลดี หรือ ผลเสีย กันแน่ ถ้าย้อนไปพิจารณาไปตั้งแต่จุดเริ่มของเหตุทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจโอนย้ายความรับผิดชอบโครงการรถไฟฟ้า สายสีเขียว ส่วนต่อขยาย จากรฟม.มาให้กทม.ดูแล เนื่องจากจะทำให้รถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งระบบมีความเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ข้อมูลของว่าที่ผู้ว่าฯกทม.อย่าง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ มีแนวคิด จะเอาระบบรถไฟฟ้าส่งกลับไปให้รฟม. กระทรวงคมนาคม ดูแลรับผิดชอบ เพราะเหตุผลเชื่อว่าจะทำให้ค่าโดยสารถูกลง

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ทั้งนี้ที่ผ่านมา Top News ได้ลำดับขั้นตอนที่มาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว อย่างละเอียด เริ่มจาก

1. กรณีการเดินหน้ารถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย เริ่มจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีเป้าหมาย เรื่อง การพัฒนาระบบขนส่งประเทศ และ การแก้ไขปัญหารถไฟฟ้าบีทีเอส ที่ค้างคามาจากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

จึงออกคำสั่งคสช. 3/2562 ลงวันที่ 11 เมษายน 2562 ใช้อำนาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 โอนความรับผิดชอบ รถไฟฟ้าสายสีเขียว (ส่วนต่อขยาย) จากรฟม.ให้กทม.รับผิดชอบ ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อทำให้โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว เป็นระบบเดียวกัน

พร้อมกันนี้ได้มีการ แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยมีปลัดมหาดไทย เป็นประธานคณะกรรมการ ร่วมกับกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงการคลัง , ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ , เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ , อัยการสูงสุด , ผู้อํานวยการสํานักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ และผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเงินและด้านระบบรถไฟฟ้า ซึ่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแต่งตั้ง เพื่อให้ศึกษาแผนการร่วมทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ระหว่างภาครัฐและเอกชน

2.อำนาจหน้าที่คณะกรรมการชุดดังกล่าว มีวัตถุประสงค์สำคัญ เพื่อพิจารณาความเหมาะสมแนวทางการแก้ปัญหา ภายหลังการโอนย้ายความรับผิดชอบโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวจาก รฟม.มาให้ กทม. ซึ่งทำให้กทม.มีหนี้สินต้องรับภาระ 3 ส่วนหลัก คือ

-หนี้งานโยธาและดอกเบี้ยถึงปี 2572 แยกเป็นเงินต้น 55,704 ล้านบาท ดอกเบี้ย 13,401 ล้านบาท รวม 69,105 ล้านบาท

-หนี้ค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล 20,248 ล้านบาท ที่กทม.ต้องจ่ายให้บีทีเอส และมีกำหนดจ่ายภายในเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมา

-หนี้ค่าจ้างเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย จนถึงปัจจุบัน กว่าหมื่นล้านบาท คิดเป็นค่าจ้างเดินรถเฉลี่ยประมาณเดือนละ 600 ล้านบาท

3.ที่ผ่านมาคณะกรรมการชุดที่แต่งตั้ง โดยพล.อ.ประยุทธ์ มีการประชุมศึกษา แนวทางการแก้ปัญหามาโดยตลอด จนมีข้อสรุปเรื่องการขยายอายุสัมปทาน อีก 30 ปี ให้กับบริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) BTSC ซึ่งเดิมจะครบกำหนดอายุสัมปทานในปี 2572 แลกกับประโยชน์ที่ผู้โดยสารจะได้รับจากค่าโดยสารที่ลดลง จากตัวเลขค่าใช้จ่ายต่อการเดินทางตลอดสาย ระยะทาง 68.25 กม. ที่อัตราสูงสุด 158 ให้เหลือไม่เกิน 65 บาท

ตลอดจนยังเป็นประโยชน์โดยตรง ต่อการแก้ไขภาระหนี้สินกว่า 120,000 ล้านบาทของ กทม. (ข้อมูลปี 2562) ประกอบด้วย

1.ภาระหนี้สินเดิมที่เกิดขึ้นจากการรับโอนโครงการส่วนต่อขยายที่ 2 ทั้งในส่วนเงินต้นค่างานโยธาที่ประมาณ 55,000 ล้านบาท
2.ภาระดอกเบี้ยในอนาคตอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท
3.ค่าลงทุนในงานระบบ (E&M) ในส่วนต่อขยายที่ 2 ประมาณ 20,000 ล้านบาท
4.ภาระหนี้ค่าจ้างงานเดินรถค้างจ่ายอีกประมาณ 9,000 ล้านบาท
5.ภาระผลขาดทุนจากการดำเนินการส่วนต่อขยายตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปี 2572 รวมอีกประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท

และรวมถึง กทม.ยังจะได้รับการจัดสรรผลประโยชน์ จากบริษัทเอกชนยังต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้ค่าโดยสาร หลังปี 2572 ให้ กทม. อีกกว่า 200,000 ล้านบาท และถ้ามีส่วนแบ่งเพิ่มเติมในกรณีที่ผลประกอบการจริงดีกว่าคาดการณ์ อัตราการจัดสรรส่วนแบ่งก็จะเพิ่มมูลค่าตามไปด้วย

ขณะที่ปัจจุบันมูลหนี้กทม.ค้างจ่าย BTS สูงเพิ่มขึ้นจากในปี 2562 จำนวนมาก โดยเฉพาะค่าจ้างบริการเดินรถ ที่มีมูลค่าราว 5 หมื่นล้านบาท และ BTS ยังคงไม่ได้รับเงินในส่วนนี้ แต่ต้องบริการเดินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายให้กทม. โดยไม่คิดค่าบริการเหมือนเดิม ตามนโยบายภาครัฐ

4.คณะกรรมการพิจารณาแนวทางขยายสัมปทานให้ BTS มีข้อสรุปตรงกัน และ เรื่องนี้ถูกนำเข้าสู่การพิจารณาจากที่ประชุมระดับรัฐมนตรีหลายครั้ง อาทิ

เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 กระทรวงคมนาคมมีหนังสือ ถึงเลขาธิการ ครม. ความว่า “เห็นสมควรที่จะนำเสนอ ครม. พิจารณาตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ เนื่องจากกระทรวงมหาดไทยและ กทม. ได้ดำเนินการตามขั้นตอนของคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 3/2562 ลงวันที่ 11 เมษายน 2562 แล้ว

พร้อมข้อมระบุว่า การให้ กทม. เป็นผู้บริหารจัดการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย จะช่วยให้ประชาชนสามารถใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวได้อย่างต่อเนื่องทั้งระบบเป็นโครงข่ายเดียวกัน โดยจะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ มติ ครม. และความเห็นของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความโปร่งใสในการดำเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล เกิดผลสัมฤทธิ์ หรือประโยชน์ต่อภาครัฐและประชาชนเป็นสำคัญ”

2. วันที่ 30 มีนาคม 2563 และวันที่ 9 มิถุนายน 2563 กระทรวงคมนาคมได้มีหนังสือถึง เลขาธิการ ครม. ยืนยันตามความเห็นเดิมโดยไม่มีความเห็นเพิ่มเติม คือเห็นด้วยกับข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทยท ในการขอให้พิจารณาแผนขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวกับ BTSC

ไม่เท่านั้น วันที่ 30 มิ.ย. 2563 กระทรวงคมนาคม นำผลการพิจารณารายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง การพิจารณาศึกษาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า (บีทีเอส) ของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้า (บีทีเอส) สภาผู้แทนราษฎร เข้าสู่ที่ประชุมครม.เพื่อรับทราบ

โดยคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีความเห็นให้ กทม. ดำเนินการตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 3/2562 เรื่อง การดำเนินการโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ลงวันที่ 11 เมษายน พุทธศักราช 2562 ให้ครบถ้วน และเป็นไปตามกฎหมาย เพื่อให้มีการต่อสัญญาสัมปทานนี้ต่อไป

ด้วยข้อความระบุว่า เนื่องด้วยขอบเขตของคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติดังกล่าว จะมีผลให้เอกชนต้องรับภาระค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แทน กทม. ในช่วงต้นโครงการ และ กทม. ยังได้รับส่วนแบ่งจากค่าโดยสาร สถานีเชื่อมต่อการเดินทาง และไม่มีการเรียกเก็บค่าแรกเข้าซ้ำซ้อน

รวมถึงอัตราค่าโดยสารตามสัญญาร่วมทุนมีราคาน้อยกว่าหรือเท่ากับอัตราค่าโดยสารที่มีการจัดเก็บในปัจจุบัน คือ อัตราค่าโดยสารตลอดสายสูงสุด 65 บาท

ขณะเดียวกันยังเป็นการแก้ไขปัญหาภาระการเงินของ กทม. ในอนาคต ซึ่ง กทม. อาจนำส่วนแบ่งผลประโยชน์มาเป็นส่วนลดค่าโดยสารให้กับประชาชนนั้น

3. วันที่ 13 ส.ค. 2563 ในการประชุมครม.มีการพิจารณาเรื่องรถไฟฟ้าสีเขียวนี้อีกครั้ง เนื่องจาก นายปรีดี ดาวฉาย เพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง รมว.คลัง แทน นายอุตตม สาวนายน เมื่อวันที่ 6 ส.ค. 2563 และเข้าเฝ้าฯเพื่อถวายสัตย์ปฏิญาณเมื่อวันที่ 12 ส.ค. 2563 โดยที่ประชุมครม. ได้แจ้งให้ นายปรีดี รับทราบเรื่องการขยายอายุสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อทำความเห็นประกอบการพิจารณา ก่อนเสนอที่ประชุมในคราวต่อไป

แต่ เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2563 นายปรีดี ดาวฉาย รมว.คลัง ตัดสินใจลาออก ทำให้ต้องเป็นหน้าที่ของรมว.คลังคนใหม่ พิจารณาให้ความเห็น

จากนั้น เมื่อวันที่ 17 พ.ย. 2563 กระทรวงการคลัง โดยนายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ ได้ทำหนังสือยืนยันความเห็นเดิม พร้อมระบุด้วยว่าเป็นความเห็น ในฐานะรมว.คลัง เช่นเดียวกับความเห็นของกระทรวงคมนาคม ที่เคยเสนอไปก่อนหน้า ในการสนับสนุนให้มีการขยายอายุสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอส เพื่อควบคุมค่าโดยสารตลอดทั้งเส้นทาง ให้อยู่ในเกณฑ์ไม่เกิน 65 บาท เพียงแต่ในวันนั้น มีการถอนเรื่องดังกล่าวออกไป เนื่องจากกระทรวงคมนาคม อ้างถึงหนังสือทักท้วงของกรมขนส่งทางราง ใน 4 ประเด็น เพื่อตรวจสอบให้ครบถ้วน ก่อนนำเสนอที่ประชุมครม.อีกครั้ง

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนของลำดับเรื่องราวความเป็นมาของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ที่ถูกจับตามองว่า ว่าที่ผู้ว่าฯกทม.อย่าง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ จะเข้ามาดำเนินการ ในรูปแบบไหน อย่างไร เพราะขั้นตอนทุกอย่างเลยจากการตัดสินใจของกทม.มาแล้ว และกทม.ต้องยอมรับความจริงว่า ไม่สามารถหาเงินงบประมาณมาชำระหนี้ให้กับ BTSC ได้ โดยปัจจุบันมูลหนี้ระหว่างบริษัทกรุงเทพธนาคม กทม. และ BTSC ได้เพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง ตามภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นกว่า 4 หมื่นล้านบาท

แยกเป็น 1.ค่าจ้างเดินรถและบำรุงรักษา ( O&M) เฉพาะส่วนต่อขยาย ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
2.ค่าติดตั้งงานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล (E&M) เฉพาะส่วนตอขยาย อีกกว่า 2 หมื่นล้านบาท

ในทางตรงข้าม ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปีที่ผ่านมา BTSC คือ บริษัทเอกชนที่แบกรับภาระต้นทุน การให้บริการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย ฝ่ายเดียวมาโดยตลอด ขณะที่ บริษัทกรุงเทพธนาคม และกทม. เพียงแต่เดินหน้าทำตามนโยบายภาครัฐ ด้วยการเลือกแนวทางให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ส่วนต่อขยาย) โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย เพื่อช่วยเหลือคุณภาพชีวิต คนกรุงเทพฯ นนทบุรี และ ปทุมธานี ที่มียอดใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีเขียว จำนวนกว่า 2 แสนคนต่อวัน รวมถึงเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว และการลดมลพิษฝุ่นละลองในเมืองใหญ่

อย่างไรก็ความเพื่อความชัดเจน เกี่ยวกับแนวคิดของว่าที่ผู้ว่าฯกทม. อย่าง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ วางแผนจะดำเนินการกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีข่าว Top New ได้สอบถามความเห็นจาก ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านระบบขนส่งมวลชนทางราง และ อดีตรองผู้ว่าฯกทม. ว่า ตามหลักข้อเท็จจริง เป็นไปได้หรือไม่ และมีประเด็นต้องพิจารณาความเหมาะสม ในจุดไหน อย่างไร

ดร.สามารถ กล่าวว่า ปมปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียว มีทางแก้ 2 ทาง คือ ต่อสัญญาสัมปทาน ให้บีทีเอส กับไม่ต่อสัญญาสัมปทาน ซึ่งถ้าไม่ต่อสัญญาสัมปทาน ก็จะเจอปัญหา 2 ประการ คือ
หนึ่ง หนี้ที่จะต้องจ่ายให้บีทีเอส ประกอบด้วยค่าจ้างเดินรถ และค่างานระบบไฟฟ้าและเครื่องกล อีกทั้ง มีหนี้งานโยธาที่รับโอนส่วนต่อขยายช่วงแบริ่ง-เคหะสมุทรปราการ และช่วงหมอชิต-คูคต มาจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ถึงเวลานี้เป็นเงินประมาณ 4 หมื่นล้านบาท และจากนี้ไปจนถึงปี 2572 ซึ่งเป็นปีสิ้นสุดสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก ช่วงหมอชิต-อ่อนนุช และช่วงสนามกีฬาแห่งชาติ-สะพานตากสิน เป็นเงินประมาณ 9 หมื่นล้านบาท รวมเป็นหนี้ทั้งหมดประมาณ 1.3 แสนล้านบาท ที่กทม. จะต้องหาเงินมาจ่ายให้กับบีทีเอส และรฟม.

ส่วนปัญหาที่สอง คือ ปัญหาสัญญาจ้างระหว่างกทม. กับบีทีเอส บี โดยกทม. ได้ทำสัญญาจ้างให้บีทีเอสเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้งส่วนหลักและส่วนต่อขยายไปจนถึงปี 2585 หาก กทม. ต้องการเปิดประมูลหาผู้เดินรถรายใหม่หลังจากสิ้นสุดสัมปทานในปี 2572 เพื่อหวังที่จะลดค่าโดยสาร อาจเกิดข้อพิพาทกับบีทีเอสได้ เนื่องจากบีทีเอสยังมีสัญญาจ้างให้เดินรถจนถึงปี 2585

ดร.สามารถ กล่าวมีข้อเสนอแนะถึงผู้ว่าฯ กทม. คนใหม่ ให้คิดให้รอบคอบ โดยเห็นด้วยที่จะทำให้ค่าโดยสารรถไฟฟ้าทุกสาย ทุกสี ถูกลง แต่จะทำได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเห็นว่า ในส่วนของรถไฟฟ้าสายสีเขียว มองว่า บีทีเอส ถ้าไม่ได้รับการต่อ หรือขยายสัญญา คงไม่เดือดร้อน เพราะมีสัญญาจ้างถึงปี 2585 สัญญาจ้างเดินรถเค้าไม่ต้องรับผิดชอบเรื่องจำนวนผู้โดยสาร จะมากหรือน้อย ก็ได้สัญญาจ้างตายตัวตลอด จึงอยากฝากถึงผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ ต้องดูให้รอบคอบ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

หนุ่มค้างค่าเช่าหลักหมื่น ทิ้งขยะกองโตท่วมห้องไว้ให้เจ้าของหอดูต่างหน้า
"ศาลอุทธรณ์" ยืนโทษคุก 8 เดือน "สมบัติ ทองย้อย" อดีตการ์ดเสื้อแดง โพสต์หมิ่น "พล.อ.ประยุทธ์" 2 ข้อความ
สพฐ. ชูศึกษานิเทศก์ทั้งประเทศ กลไกขับเคลื่อน "เรียนดี มีความสุข" สร้างคุณภาพสู่ห้องเรียน
“เต้ อาชีวะ” เดือด! จัดหนัก UN ปล่อยต่างด้าวล้นรพ.รัฐ แย่งคิวคนไทย
ปัตตานีระทึก คนร้ายชักปืน จี้ "พนง.ร้านสะดวกซื้อ" ชิงเงินสด 1.2 ล้าน หนีลอยนวล
เตรียมพบเทศกาลนานาชาติ พลอยและเครื่องประดับจันทบุรี 2024 "จันทบุรีนครอัญมณี" ปีที่ 5 ชูเอกลักษณ์เมืองจันท์ อัญมณีอันเลื่องชื่อ
“สมศักดิ์” นำร่อง “ตู้ห่วงใย” บริการแพทย์ทางไกลเชิงรุกในชุมชน ยกระดับ 30 บาทรักษาทุกที่ 
"พงษ์ศักดิ์" ยื่นร้องกกต. ขอระงับรับรองผลเลือกตั้งนายกอบจ.ขอนแก่น ชี้พบเหตุหาเสียงส่อผิดกม.
“กฤษอนงค์” ไร้เงาคนยื่นประกัน นอนคุกคืนแรก ด้าน “บอสพอล” มอบทีมกม.ยื่นค้านประกันตัว
‘ทะเลสาบน้ำเค็ม’ โผล่กลางทะเลทรายในมองโกเลียใน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น