ผู้สื่อข่าวรายนงานว่า เมื่อวันที่ 26 พ.ค.2565 ผู้สื่อข่าวประจำ จ.สุรินทร์ได้ลงพื้นที่ไปยัง เมรุเผาศพ ที่วัดสังข์มงคล บ.ขยอง (ขะ-ย๋อง) ต.ตาอ็อง อ.เมือง จ.สุรินทร์ หลังทราบข่าวจากปากต่อปากชาวบ้านว่า เป็นเมรุที่สวยที่สุดในประเทศไทยและในโลก ซึ่งผู้สื่อข่าวก็ได้เคยนำเสนอข่าวดังกล่าวไปครั้งหนึ่งเมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อติดตามความคืบหน้าของการพัฒนาวัดแห่งนี้ ของหลวงพ่อญา สีลวัณโณ เจ้าอาวาสวัดสังข์มงคล ซึ่งเป็นพระสงฆ์หนุ่มนักพัฒนาในวัยเพียง 37 พรรษา แต่สามารถสร้างวัดได้สวยงามและใหญ่โต ทั้งศาลาการเปรียญ กุฏิ และปฏิสังขรณ์ต่างๆที่สวยงามอยู่เต็มวัด โดยเฉพาะเมรุที่สวยที่สุดดังกล่าวด้วย ไม่พอยังได้ซื้อที่นาข้างเคียงจากชาวบ้านเพิ่มอีก 21 ไร่จากพื้นที่เดิมของวัด ที่มีจำนวน 13 ไร่ หวังสร้างอุโบสถ ศูนย์ปฏิบัติธรรม สวนเกษตรโคกหนองนา ให้เป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม เชิงท่องเที่ยวที่สวยงาม เพื่อดึงดูดประชาชนให้เข้าวัดศึกษาธรรมะ และ เพื่อให้เป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับชาวบ้านในชุมชนและประชาชนทั่วไปอีกด้วย นอกจากเมรุที่ชาวบ้านขนานนามว่าสวยที่สุดในโลกแล้ว ทางวัดได้มีการสร้างร้านกาแฟ ขายน้ำหวานต่างๆรวมทั้งยังเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านที่มีผ้าไหมพื้นที่ และผลิตภัณฑ์โอท็อปต่างๆของชาวบ้านในพื้นที่นำมาจำหน่าย เป็นการช่วยระบายสินค้าให้กับชาวบ้านอีกแรง เป็นการพึ่งพากันและอยู่ร่วมกันระหว่างวัดและชุมชนควบคู่กันไป โดยร้านกาแฟดังกล่าวมี 2 ชั้น มีที่นั่งไว้ต้อนรับพุทธศาสนิกชนที่เข้าวัดได้มานั่งพักผ่อนในร้านกาแฟ พร้อมทั้งมีการสร้างจำลองบรรยากาศของน้ำตก และตกแต่งภายในร้านอย่างสวยงามไม่แพ้ร้านกาแฟหรูๆตามแลนมาร์คต่างๆ หรือร้านกาแฟชื่อดังอีกด้วย แถมราคาจำหน่ายเพียงแก้วละ 25,30 และ 40 บาท ซึ่งเป็นร้านกาแฟสวัสดิการของวัด นำรายได้มาเป็นค่าน้ำค่าไฟ บริหารจัดการในวัดและบูรณะปฏิสังขรณ์ต่างๆในวัด ทั้งนี้การสร้างวัดส่วนใหญ่แล้วจะเป็นฝีมือของทั้งหลวงพ่อเอง พระสงฆ์ สามเณร และชาวบ้านที่มาช่วยกันลงแขกค่อยสร้างๆขึ้นเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณและสร้างความสามัคคีในชุมชน โดยงบประมาณที่สร้างจะได้มาจากการบริจาคทำบุญ ของบรรดาศิษยานุศิษย์ พุทธศาสนิกชนทีเลื่อมใสศรัทธาในตัวของหลวงพ่อญา สีลวัณโณ ทั้งสิ้น
สำหรับเมรุดังกล่าว สร้างขึ้นด้วยงบประมาณร่วม 14 ล้านบาท ซึ่งมีลวดลายที่วิจิตรสวยงามเป็นอย่างมาก โดยมีสีทองเหลืองอร่ามทั้งเมรุและหาดูได้ยากยิ่ง แตกต่างจากเมรุเผาศพของวัดทั่วๆไปเป็นอย่างมาก บางคนมองเผินๆคิดว่าเป็นอุโบสถ เพราะชาวบ้านในพื้นที่ไม่เคยเห็นเมรุที่สวยขนาดนี้มาก่อน ซึ่งตั้งแต่ฐานเมรุไปจนถึงยอดเมรุ บริเวณโดยรอบประกอบด้วยลวดลายไทยประยุกต์ มีความวิจิตรสวยงาม ทั้งประติมากรรมปูนปั้นลอยตัว องค์เทวดา ยืนถือพุ่ม หอก ธนู และดาบ อยู่รอบเมรุทั้ง 4 ทิศ ซึ่งมีความสง่างดงามยิ่งนัก รวมทั้งเทวดาที่นั่งเชิญฉัตร เรียงรายอยู่ตามราวบันไดขึ้นเมรุที่สวยงามทั้ง 4 ทิศ และยังมีสัตว์หิมพานต์และพญานาคต่างๆประดับรอบตัวเมรุทั้งด้านบนและด้านล่าง ทั้ง 4 ทิศอีกด้วยนอกจากนี้ยังมีราชรถ หรือรถเข็นศพ ไว้บรรทุกเคลื่อนศพมายังเมรุที่มีลวดลายสวยงามไม่แพ้กัน ทั้งหมดเป็นการออกแบบของหลวงพ่อญา สีลวัณโณ เจ้าอาวาสวัดสังข์มงคล ที่ออกแบบลวดลายประยุกต์รูปแบบของเมรุต่างๆโดยไม่ได้ใช้นักออกแบบมืออาชีพมาจากไหน เกิดจากการได้เห็นแบบจากที่ต่างๆแล้วนำมาประยุกต์สร้างขึ้นเอง ใช้เวลาสร้างตั้งวันที่ 11 ก.พ. 2560 เสร็จวันที่ 10 ก.พ. 2562 รวมระยะเวลาสร้าง 2 ปีพอดี และตั้งแต่สร้างเสร็จพบว่ามีประชาชนทยอยหลั่งไหลเข้ามาชมเมรุและร่วมทำบุญกับวัด จากทั่วสารทิศและต่างจังหวัดอย่างไม่ขาดสาย
ที่สำคัญเมรุดังกล่าว ยังแตกต่างไม่เหมือนใคร เพราะมีเตาเผาเป็นระบบควบคุมอากาศ (Starved Air) ปลอดมลพิษ เป็นมิตรต่อสิงแวดล้อม ที่ได้รับการออกแบบ และพัฒนาตามหลักวิศวกรรม โดยทีมวิศวกรที่มีระบบการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ใช้งานง่าย มีสัญญาณไฟแจ้งเตือนตอนเผา พร้อมจอแสดงผลตัวเลขดิจิตอล ที่สามารถปรับตั้งค่าความร้อน และเวลา ได้ตามต้องการ นอกจากนี้ทางวัดยังได้ออกแบบประยุกต์เพิ่มเติมเองด้วยการใช้รอกในการเคลื่อนศพจากข้างบนเมรุหลังจากตั้งโลงสพประกอบพีฌาปณกิจเสร็จ ก็จะมีการเคลื่อนโลงลงมายังเตาเผาด้านล่างด้วยการใช้รอกไฟฟ้าที่ดัดแปลงทำขึ้นเองได้อย่างลงตัวอีกด้วย ถือว่านอกจากจะเป็นเมรุที่สวยที่สุดแล้ว ยังมีเทคโนโลยีที่ไม่เหมือนใครและยังรักโลกอีกด้วย
หลวงพ่อญา สีลวัณโณ เจ้าอาวาสวัดสังข์มงคล กล่าวว่า วัดนี้ก่อตั้งและเริ่มก่อสร้างมาวันที่ 11 ก.พ.2554มีแต่กระต็อบให้พระจำพรรษา แรกๆก็ไม่ได้มีแนวคิดสร้างให้เมรุสวยและใหญ่ขนาดนี้ เดิมเผาศพแบบเชิงตะกอนธรรมดา ญาติโยมจึงรวบรวมบริจาคตามศรัทธา ประมาณ 5 หมื่นบาท วันหลังมาชาวบ้านบริจาคคนนี้เสา 1 ต้น คนนั้นเสา 1 ต้น เสาจึงมีจำนวนมาก ตอกเสาเข็มตอกไปตอกมา จึงใหญ่ขึ้น จึงอยากสร้างให้เป็นเหมือนเมรุลอย ให้แปลกตาไป แต่ไม่ได้คิดให้มีลายวิจิตร ทำไปทำมาก็เป็นไปเองอย่างอัติโนมัติ พลังศรัทธาก็มาเองเรื่อยๆไม่มีนายทุนช่วย ชาวบ้านบริจาคช่วยกันร้อยสองร้อย พันสองพันตามกำลังชาวบ้าน พอสร้างไปก็เลยออกแบบจำลองให้เป็นเหมือนเขาพระสุเมรุ เลยเอาสัตว์หิมพานต์มาตั้ง ซึ่งทำให้คนเข้ามาวัดแล้วไม่กลัว เห็นเมรุแล้วไม่น่ากลัว ไม่กลัวความเป็นจริงที่ต้องเจอ เด็กน้อยก็เข้ามาดูมาศึกษาได้ สถานศึกษา หน่วยงานราชการต่างๆก็เข้ามาดู เป็นศิลปะของสุรินทร์เรา ลวดลายต่างๆเน้นแบบเขมรสุรินทร์ ประยุกต์ลวดลายผสมผสาน ใช้เวลาสร้างประมาณ 2 ปี งบประมาณ 13 กว่าล้านบาท ส่วนใหญ่คนที่เข้ามาก็จะสอบถามเรื่องความสวยงาม ที่สร้างขึ้นมาเพื่ออะไร ซึ่งจะแฝงด้วยคติธรรมต่างๆ ส่วนที่ชาวบ้านว่าสวยที่สุดในไทยในโลก อาตมาว่า ไม่ได้สวยอะไรกว่าใคร เพียงแต่รูปแบบแตกต่างจากที่อื่น เพระแถวนี้มีแห่งเดียว ส่วนร้านกาแฟ ญาติโยมเวลามาทำบุญ บางคนไม่ได้ติดน้ำมาดื่ม เวลาวัดให้น้ำดื่ม ญาติโยมก็จะไม่อยากกินของวัด กลัวบาป และจะออกไปหาซื้อข้างนอกแล้วกลับมา จึงคิดสร้างโรงน้ำ ขายราคาปกติเหมือนท้องตลาด ไม่ต้องวิ่งเข้าวิ่งออก ซื้อกินที่วัดเลย กำไรนิดๆหน่อยก็เป็นค่าน้ำค่าไฟ อีกนัยหนึ่งเราได้ส่งเสริมอาชีพชาวบ้านด้วย ผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ผ้าไหม กระเป๋า งานฝีมือต่างๆ ใครมีงานฝีมือก็เอามาตั้งขาย วัดก็จะเอากำไรนิดหน่อยเพื่อเป็นค่าน้ำ ค่าสถานที่ไป วัดเรายังไม่มีโบสถ์ จึงซื้อที่เพิ่มอีก 21 ไร่ และไว้สร้างศูนย์ปฏิบัติธรรม ด้านข้างก็ทำเกษตรชุมชน เกษตรผสมผสาน หางานให้ชาวบ้านได้ทำ หน่วยงานต่างๆที่สนใจก็เข้ามาดุงานได้ เปิดเป็นแหล่งสหกรณ์ชุมชน มีปันผล ชาวบ้านจะได้มีงาน จะได้ไม่ต้องไปทำงานที่อื่น หลวงพ่อกล่าว
สำหรับหลวงพ่อญา สีลวัณโณ เจ้าอาวาสวัดสังข์มงคล บวชมาแล้ว 17 พรรษา และเคยตกเป็นข่าวดังเมื่อ 3-4 ปีก่อน กรณีที่ทุกวันเพ็ญ 15 ค่ำ หลวงพ่อจะประกอบพิธีปลงผม แล้วผมที่ปลงได้เปลี่ยนสภาพเป็นผลึกสีดำ เมื่อถูกแสงกระทบจะมีลักษณะแวววาว ก่อนที่ประชาชนพุทธศาสนิกชนที่ทราบข่าวและศรัทธาจะต่างเดินทางมาเข้าแถวต่อคิวขอรับเส้นผมที่เปลี่ยนสภาพเป็นผลึก หรือที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นผลึกธาตุ และมีความศักดิ์สิทธิ์ จึงนำไปกราบไหว้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลมาแล้ว.
ภาพ/ข่าว กฤษดากร กีรติธำรงค์เจริญ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค จ.สุรินทร์