ถือเป็นประเด็นใหญ่ที่หลายฝ่ายติดตาม สำหรับบทสรุปเรื่องหนี้สินของกทม. โดยบริษัทกรุงเทพธนาคม กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน). หรือ BTSC เพราะนานกว่า 3 ปีแล้ว หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามมาตรา 44 แห่งรธน.ฉบับชั่้วคราวปี 2557 ดำเนินการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น กับระบบรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายช่วงสะพานตากสิน-บางหว้า , ช่วงอ่อนนุช-สมุทรปราการ และ ช่วงหมอชิต-คูคต
แต่ปรากฎว่ายังไม่คำตอบ ว่า รัฐบาล และผู้เกี่้ยวข้อง จะนำเงินงบประมาณส่วนไหน มาบริหารจัดการ ขณะที่ประเด็นแนวคิดเรื่องการขยายสัมปทาน ตามพ.ร.บ.ร่วมทุนรัฐ เอกชน เพื่อแก้ปัญหาหนี้สินทั้งหมด ภายหลังมาถูกคัดค้านโดยกระทรวงคมนาคม จนมาถึงล่าสุด นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. ได้เรียกผู้บริหารบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด หรือ KT เข้าหารือปัญหาที่เกิดขึ้น ในวันนี้ (2 มิ.ย.65)
โดยภายหลังการหารือแล้วเสร็จ นายชัชชาติ พร้อมด้วยดร.เกรียงพล พัฒนรัฐ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด และผู้บริหารที่เกี่ยวข้อง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
นายชัชชาติ เปิดเผยว่า วันนี้ได้เชิญทาง KT มาหารือในเรื่องเร่งด่วน เรื่องโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่ง KT ได้ให้ข้อมูลเบื้องต้นในเรื่องของสัญญาเอกสารต่างๆที่ เกี่ยวข้อง โดยข้อมูลที่ได้รับเป็นข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น เนื่องจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นสภากทม. KT สำนักงานจราจรและขนส่งกรุงเทพมหานครหรือ สจส. มาร่วมให้ข้อมูล
สำหรับข้อมูลเบื้องต้นที่ KT ได้ชี้แจงคือ ในเรื่องของสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียวว่าเป็นอย่างไร มีการจ้างเป็นอย่างไร เหตุใดจึงมีการจ้างการเดินรถในระยะยาวและการก่อหนี้เป็นอย่างไร ซึ่งในส่วนของ KT มีความเกี่ยวข้องกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ในส่วนของการจ้างเอกชนเดินรถถึงปี 2585 ยืนยันทำตามขั้นตอนทุกอย่าง เพราะการจ้างเอกชนเดินรถในระยะยาว จะถูกกว่าการจ้างเอกชนเดินรถในระยะสั้น ส่วนเรื่องของการต่อสัมปทานนั้นจะเป็นเรื่องของ สจส. ซึ่งจะต้องมีการหารือกันต่อไป
ผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่า หลังจากที่ได้รับข้อมูลเบื้องต้น จาก KT แล้ว จะต้องมาพิจารณาอีกครั้งหนึ่งถึงความสัมพันธ์ของแต่ละหน่วยงานว่าเป็นอย่างไรมีจุดไหนบ้างที่จะทำให้ทางด้านของ กทม. สามารถต่อรองราคาได้ถูกลง เนื่องจากว่าการต่อสัญญาสัมปทานไปจนถึงปี 2602 นั้นเป็นการต่อที่ยาวมาก และไม่ได้ผ่าน พ.ร.บ.ร่วมทุน ที่ทำให้เกิดการแข่งขันขึ้น จึงไม่สามารถกำหนดราคาที่เหมาะสมว่าจะต้องเท่าไหร่ หลังจากนี้ตนจะต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 2-3 หน่วยงาน ซึ่งอาจจะดูในเรื่องของการต่ออายุสัมปทานต่อไป
ในส่วนของราคาค่าโดยสารตามนโยบายนั้น มีความเป็นไปได้หรือไม่ นายชัชชาติ ระบุว่า เป็นเป้าหมายที่จะต้องศึกษา ในเรื่องของต้นทุนและบริษัทเอกชนที่มีการเผยแพร่ข้อมูลอยู่ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ได้มีการศึกษามาแล้ว และเป็นเป้าหมายที่อยากจะทำ แต่ทั้งนี้ จะต้องมีเงื่อนไขอื่นมาเกี่ยวข้อง ในเรื่องหนี้ผูกเข้ามา และใครจะเป็นคนจ่ายหนี้ก้อนนี้ ซึ่งหาก กทม . ไม่ต้องรับภาระหนี้ โครงสร้างพื้นฐานที่รัฐบาลออกไปก่อน เชื่อจะทำให้กทม.แบกภาระน้อยลง และเป็นตัวเลขให้เปลี่ยนเรื่องกำไรขาดทุนไป
ทั้งนี้ ในส่วนของภาระหนี้ ที่เกิดขึ้น นายชัชชาติ ระบุว่า ขณะนี้ ยังไม่มีความชัดเจนเพราะความจริงแล้วในจุดนี้เป็นมติของคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ว่าให้กทม.เดินรถสายสีเขียว ส่วนการรับภาระหนี้จะต้องมีการหารือกัน 3 ส่วน คือ คือ กทม. กระทรวงคมนาคม และคจร. ซึ่งขบวนการตรงนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่าการรับภาระหนี้โครงสร้างพื้นฐานนั้นได้ผ่านรัฐสภากทม.มาอย่างไร โดยเฉพาะภาระหนี้ 4-5 หมื่นล้านบาท
นายชัชชาติ ระบุว่า ในส่วนของภาระหนี้ ที่ผ่านมาสภากทม. ได้มีการออกข้อบัญญัติ เพื่อให้กู้เงินมาใช้หนี้ ซึ่งต้องศึกษาขั้นตอนตรงนี้ และขณะนี้ก็ยังมีเวลา ซึ่งจะต้องค่อยๆคลี่ออกมา และตนมีหน้าที่นำมาเล่าใหัฟังและพิจารณาว่าจุดไหนจะทำให้ค่าโดยสารถูกลงได้ ซึ่งประชาชนมีการกล่าวถึงเรื่องนี้เป็นจำนวนมากโดยจะเฉพาะเรื่องค่าโดยสาร
ส่วนการต่อสัมปทาน เป็นเรื่องที่ยังค้างอยู่ที่ประชุม ครม. ซึ่งกทม. ไม่ได้มีอำนาจในการตัดสินใจ อาจจะทำได้แค่แสดงความคิดเห็นประกอบ ซี่งการต่อสัญญามาจากอำนาจของมาตรา 44
ผู้สื่อข่าวได้สอบถามถึงภาระหนี้ 4 หมื่นล้านบาท ว่า ได้มีการทยอยคืนให้กับเอกชนบ้างหรือไม่นั้น นายชัชชาติ ระบุว่า ขณะนี้ KT ได้มีการทยอยจ่ายหนี้ เนื่องจากค่าเดินรถมีส่วนต่อขยายหนึ่งและส่วนต่อขยายสอง ซึ่งรายได้มาจากส่วนต่อขยายหนึ่งที่เก็บอยู่ 15 บาท ในการทยอยใช้หนี้ อย่างรไรก็ตาม ขอให้อย่าเอาเรื่องนี้ มาเป็นข้อเร่งรัดในการต่อสัญญาระยะยาว เพราะหากมีความกังวลเรื่องนี้มากเพราะหากนำเรื่องภาระหนี้มาเป็นข้อเร่งรัดอาจทำให้การต่อสัญญาระยะยาวได้ เพราะกังวลในเรื่องภาระหนี้ก้อนนี้
ในส่วนของภาระหนี้นั้น ภาครัฐมีสิทธิ์ที่จะกู้เงินมาจ่ายโดยอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับที่ถูกเมื่อเทียบกับเอกชน และการผลักภาระหนี้ไปให้เอกชน เชื่อว่าจะมีอัตราดอกเบี้ยที่แพงกว่ารัฐจ่ายเอง เนื่องจากรัฐกู้เงินได้ถูกที่สุด ซึ่งจะต้องพิจารณาถึงผลระยะยาว โดยเข้าใจว่า ทางสภากทม. ได้เตรียมวางแผนการกู้เงินเพื่อใช้หนี้ แต่ทั้งนี้ ต้องพิจารณารายละเอียดทั้งหมดให้ครอบคลุมรอบด้านและระมัดระวัง อย่าเอาภาระระยะยาวมาแก้ปัญหาหนี้ระยะสั้น
ทั้งนี้ นายชัชชาติ กล่าวว่า จริงๆ แล้วกทม.สามารถกู้เงินได้ KT ก็เคยกู้เงิน เข้าใจว่า สภากทม. ก็มีข้อบัญญัติเตรียมการกู้เงินส่วนนี้ไว้ที่จะนำมาชำระหนี้แล้ว แต่ยังไม่ได้กู้ อย่างไรก็ตาม วันนี้เป็นวันแรกจึงขอเก็บข้อมูลให้ครบถ้วนก่อน และไปอย่างระมัดระวัง เพราะเป็นเงินจำนวนมาก
ส่วนแนวทางการออกพันธบัตรเพื่อชำระหนี้นั้น นายชัชชาติ ระบุว่า เป็นเรื่องระยะยาว จะต้องดูกันอีกครั้งซึ่งจะต้องศึกษาจากผู้ที่เชี่ยวชาญ และในเรื่องของไฟแนนซ์ยังมีอีกหลายวิธี ซึ่งมีทีมงานศึกษารายละเอียดและความเป็นไปได้ ย้ำยังไม่ได้มีการออกในเร็วๆ นี้
นายชัชชาติ ระบุอีกว่า อีกหนึ่งแนวทางที่จะลดภาระหนี้สิน คือการเก็บค่าโดยสารส่วนต่อขยายสอง ที่ปัจจุบันยังให้บริการฟรี มานาน และมองว่าไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากเมื่อให้บริการฟรี ประชาชนส่วนใหญ่จึงหันมาใช้บริการรถไฟฟ้า ส่งผลกระทบต่อผู้ขับขี่จักรยานยนต์รับจ้าง รถเเท็กซี่ ขาดรายได้ ซึ่งต้องดูความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นกับประชาชนและเอกชนด้วย
ทั้งนี้ นายชัชชาติ ยอมรับว่า อยากจะคืนหนี้ที่ให้เรารับมากว่า 4 หมื่นล้านบาท โครงสร้างพื้นฐาน เป็นภาระหนัก อย่างไรก็ตาม ต้องดูความยุติธรรม และดูจากสายอื่นๆ ด้วย ที่รัฐไปกู้จ่ายคืนค่าโครงสร้างพื้นฐานให้ผู้ประกอบการ ทำให้ต้นทุนไม่แพงมาก
ในส่วนสัญญาสัมปทานจะสิ้นสุดในปี 2572 ส่วนจะต่อไม่ต่อ นายชัชชาติ ระบุว่า เป็นความเห็น ของคณะกรรมการมาตรา 44 ซึ่งเห็นด้วยต่อการขยายสัมปทาน โดยมองว่าในหลายเรื่องจะต้องให้สภากทม. ร่วมพิจารณาด้วย ในเรื่องของขั้นตอนและแนวทางการปฎิบัติว่า มีความครบถ้วนหรือไม่ ซึ่งหากได้ข้อมูลทั้งหมดแล้วจะต้องรายงานกระทรวงมหาดไทยให้ได้รับทราบซึ่ง คาดว่าจะหารือกันเร็วๆ นี้