นพ.สุเทพ เพชรมาก หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงกรณีมีการข้อสงสัยเรื่องการกระจายวัคซีนโควิด 19 ไปยังโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) เป็นแผนการระบายวัคซีนไปทิ้งให้หมดอายุ ว่า การส่งวัคซีนโควิด 19 ไปไว้ที่ รพ.สต.เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการวัคซีนได้ใกล้บ้านที่สุด ทำให้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เป็นมติของ ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินทางการแพทย์และสาธารณสุข (EOC) มาประมาณเกือบเดือนแล้ว เนื่องจากพบว่า ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประชาชนไม่มารับวัคซีน คือ เดินทางไม่สะดวก หรือไม่มีคนพาไป
“กระทรวงสาธารณสุข จึงส่งวัคซีนโควิด 19 ทั้งซิโนแวค แอสตร้าเซนเนก้า และไฟเซอร์ ไปยัง รพ.สต. ซึ่งเป็นหน่วยบริการที่ใกล้บ้านที่สุด เพื่อให้ประชาชนที่อยู่ห่างไกลสามารถพาผู้สูงอายุและผู้ที่มีภาวะพึ่งพิงไปฉีดวัคซีนกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขใกล้บ้าน นอกจากนี้ รพ.สต.หลายแห่งยังร่วมกับท้องถิ่นออกสำรวจประชาชนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนและจัดวัคซีนไปบริการเชิงรุกถึงบ้าน โดยกระทรวงสาธารณสุขสนับสนุนอุปกรณ์การฉีดวัคซีน และ สปสช.สนับสนุนค่าฉีดวัคซีนให้กับ รพ.สต. ในอัตรา 40 บาท/เข็ม ไม่ใช่การระบายวัคซีนไปทิ้งแต่อย่างใด เพราะทุกวันนี้ รพ.สต.ก็มีให้บริการวัคซีนอื่นๆ อยู่แล้ว เช่น วัคซีนคอตีบ ไอกรน บาดทะยัก เป็นต้น” นพ.สุเทพกล่าว
นพ.สุเทพกล่าวต่อว่า จากความทุ่มเทของหน่วยบริการทุกระดับ รพ.สต. รวมถึงบุคลากรทางการแพทย์ และ อสม. ในการจัดบริการวัคซีน ทำให้ประชาชนเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด 19 ทุกวัน ทั้งเข็มปกติและเข็มกระตุ้น และเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราควบคุมสถานการณ์โควิด 19 และผ่อนคลายมาตรการต่างๆ ได้มากขึ้น ซึ่งการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นในขณะนี้ยังมีความสำคัญมาก เนื่องจากผู้เสียชีวิตในแต่ละวันเกือบทั้งหมดเป็นกลุ่มเสี่ยง คือ ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว และได้รับวัคซีนไม่ครบ ทั้งนี้ การได้รับวัคซีนโควิดเพียง 2 เข็ม ป้องกันการติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนได้น้อยมาก ป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ปานกลาง แต่การฉีดกระตุ้นเข็มที่ 3 จะป้องกันการติดเชื้อได้มากขึ้น ป้องกันป่วยหนักและเสียชีวิตได้ 93% และหากฉีดเข็มที่ 4 จะป้องกันติดเชื้อเพิ่มเป็น 76% ป้องกันป่วยหนักและเสียชีวิตสูงถึง 99%
สธ. แจงการกระจายวัคซีนโควิด 19 ถึงระดับ รพ.สต. ช่วยประชาชนรับวัคซีนใกล้บ้าน ปัดระบายวัคซีนไปทิ้ง ย้ำเข็มกระตุ้นสำคัญ ช่วยลดความรุนแรงและเสียชีวิต ก้าวสู่โรคประจำถิ่นได้อย่างปลอดภัย หลังชมรมแพทย์ชนบทโวยวัคซีนสต็อกล้นตู้เย็นรอวันหมดอายุ
ข่าวที่น่าสนใจ
นพ.สุเทพ กล่าวอีกว่า กระทรวงสาธารณสุขจึงตั้งเป้าหมายฉีดเข็มกระตุ้นให้ครอบคลุมมากกว่า 60% เพื่อให้ประชาชนมีภูมิคุ้มกันเพิ่มมากขึ้นเพียงพอ รองรับการเปิดประเทศและใช้ชีวิตได้เป็นปกติและมีความปลอดภัยมากขึ้น สอดคล้องกับมาตรการเตรียมพร้อมโควิดสู่โรคประจำถิ่นในมาตรการ 2U คือ Universal prevention และ Universal Vaccination โดยภาพรวมขณะนี้มีประชาชนฉีดวัคซีนไปแล้วประมาณ 138 ล้านโดส ความครอบคลุมเข็มแรก 81.6% เข็มที่ 2 ได้ 75.7% ส่วนกระตุ้นเข็มที่ 3 ได้เพียง 40.7% จึงขอให้นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัด เร่งประชาสัมพันธ์ถึงประโยชน์และความจำเป็นให้ประชาชนมารับวัคซีนเข็มกระตุ้น เพื่อให้ประเทศสามารถผ่านสถานการณ์โควิด 19 และเข้าสู่การเป็นโรคประจำถิ่นได้ต่อไป
ขณะก่อนหน้านี้ชมรมแพทย์ชนบท โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กว่า วัคซีนยังมีเต็มตู้ วันนี้คุณซื้อตู้เย็นเพิ่มแล้วยัง? หลังจากหนังสือแจ้งส่งวัคซีน 16.8 ล้านโดสให้ทุก รพ.สต. ตอนนี้เสียงสะท้อนคือ “วัคซีนล็อตเก่ายังเต็มตู้เย็น รอ expire อยู่อีกมาก ใช้ไม่ทันแน่ๆ แล้วของใหม่ส่งมาทำไม ให้มาวางรอวันหมดอายุหรือ ตู้เย็นก็ไม่พอเก็บ ต้องหาซื้อเพิ่มเพื่อมาเก็บวัคซีนหรือเนี่ย ไร้สาระนะ”
แน่นอนว่าวัคซีนเหล่านี้จะมาสต็อคที่คลังโรงพยาบาลก่อน และส่วนใหญ่จะเก็บที่คลังโรงพยาบาลแล้วให้ รพ.สต. ทยอยเบิกไปทีละน้อย ใช้ไปแล้วก็ค่อยมาเบิก ทั้งนี้เพราะ คลังวัคซีนต้องมีระบบห่วงโซ่ความเย็นที่สมบูรณ์ สำคัญคือตู้เย็นเก็บวัคซีนต้องมีระบบไฟสำรองเลี้ยงกรณีไฟดับ ซึ่ง รพ.สต.หลายแห่งไม่มีระบบไฟสำรอง จึงเสี่ยงต่อการรักษาคุณภาพวัคซีน
ถ้าการส่งวัคซีนลงมาล็อตนี้เพื่อเคลียร์ตู้เย็นของ สธ.ให้ว่าง รอเติมล็อตใหม่ที่กำลังจะส่งมา แบบนี้ก็ไม่ควรนะ ส่งมาเพื่อรอให้หมดอายุทำไม เปลืองค่าส่ง ค่าซื้อตู้เย็นเพื่อเก็บอีกต่างหาก สิ่งที่คนมีอำนาจควรทำคือ เจรจากับบริษัทวัคซีนให้ชะลอการส่ง หรือเจรจายกเลิกออร์เดอร์
วัคซีนล้นแขน แบบนี้ไม่ไหวนะท่าน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง