"กลอย" กรมควบคุมโรคเตือน ฤดูฝนพิษแรง หากทานต้องระมัดระวังให้ดี ย้ำ พิษแรงถึงชีวิต หากมีอาการผิดปกติ รีบพบแพทย์ด่วน
ข่าวที่น่าสนใจ
เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคได้ออกแถลงการณ์เฝ้าระวังอาหารเป็นพิษจากพืช โดยระบุว่า ที่ผ่านมาพบอุบัติการณ์อาหารเป็นพิษจากการรับประทาน “กลอย” ส่วนใหญ่มักพบในช่วงฤดูฝน ภูมิภาคที่พบบ่อยครั้ง คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยจะมีอาการเวียนศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน สาเหตุจากการล้างขจัดสารที่มีพิษออกได้ไม่หมด ก่อนที่จะนำมาประกอบอาหาร หากประชาชนจะนำมารับประทานต้องล้างพิษออกให้หมด
นายแพทย์สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 7 จังหวัดขอนแก่น ได้เปิดเผยว่า ในช่วงนี้มีความเป็นไปได้ที่จะพบผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากการรับประทานกลอย โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานที่นิยมนำมาประกอบเป็นอาหาร ประกอบกับสภาพภูมิอากาศที่มีฝนตกลงมาเป็นระยะ โดยมีการศึกษาพบว่า ปริมาณสารพิษในแต่ละฤดูกาลจะแตกต่างกัน และพบว่าจะมีพิษมากในช่วงที่ออกดอก หรือช่วงหน้าฝนประมาณเดือนกรกฎาคม – ตุลาคม จึงทำให้ผู้ที่รับประทานในช่วงฤดูฝนจะเป็นอันตรายมากยิ่งขึ้น
ซึ่งข้อมูลจากศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ (สวทช.) ได้ให้ข้อมูลว่า เป็นพืชที่มีลักษณะทั่วไปเป็นไม้เถา มีหัวใหม่เกิดขึ้นทุกปีจากส่วนลำต้นใต้ดิน หัวมีขนาดต่างๆกันผิวสีฟางหรือเทา เนื้อในสีขาวถึงขาวนวล ในหัวมีแป้งและมีสารที่มีพิษ ชื่อว่า ไดออสคอรีน (dioscorine) มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง เนื่องด้วย สารชนิดนี้สามารถละลายน้ำได้ดี ดังนั้น หากเอาน้ำละลายสารพิษออกมาได้หมด ก็สามารถรับประทานได้ ซึ่งต้องใช้เวลาชะล้างสารพิษไม่ต่ำกว่า 7 วัน
สมัยก่อนมีวิธีการล้างพิษด้วยการฝานหัวเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วนำมาแช่น้ำไหลผ่าน เช่น ในลำธาร หรืออีกวิธีหนึ่ง คือ นำไปแช่ในน้ำเกลือเข้มข้น โดยเกลือจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนสารไดออสคอรีนในแผ่นได้เร็วขึ้น แต่ต้องถ่ายน้ำทิ้งหลาย ๆ ครั้ง และใช้เวลาแช่ไม่ต่ำกว่า 3 วัน ซึ่งการรับประทานให้ปลอดภัยต้องผ่านกรรมวิธีหลาย ๆ ขั้นตอน และต้องมีความชำนาญในการล้างพิษเป็นพิเศษ
สำหรับสารไดออสคอรีนจะส่งผลต่อประสาทสัมผัสทั้ง 5 ดังนั้น คนที่รับประทานหัวที่มีสารพิษเข้าไปจึงมักมีอาการ
- คันที่ปาก ลิ้น คอ
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ทำให้เกิดอาการ มึนเมา วิงเวียนศีรษะ
- ใจสั่น ตาพร่ามัว
- อึดอัด และอาจเป็นลมหมดสติได้
- ทั้งนี้ ผู้ที่ได้รับพิษจะมีอาการรุนแรงไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับปริมาณสารพิษ ความต้านทานของแต่ละคน
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า แม้จะมีวิธีกำจัดพิษที่มีมาแต่โบราณ แต่ก็ยังไม่มีวิธีการใดที่บอกได้แน่ชัดว่าจะหมดพิษหรือไม่ด้วยการสังเกตจากลักษณะภายนอก ดังนั้น การแช่น้ำไว้หลายวัน หรือการตั้งข้อสังเกตตามคนส่วนใหญ่ที่เชื่อว่าการล้างไปเรื่อย ๆ จนกว่าเมือกที่ผิวจะหมดนั้น ก็ไม่ใช่สิ่งที่ยืนยันได้ 100% ว่าจะไม่มีพิษหลงเหลืออยู่
ดังนั้น จึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังหากจะรับประทานในช่วงฤดูฝน และไม่ควรให้เด็กรับประทานจะดีที่สุด เนื่องจาก เด็กมีน้ำหนักตัวน้อย สารพิษกระจายตัวได้เร็วกว่าผู้ใหญ่ อีกทั้งเวลาที่เกิดอาการข้างเคียงเด็กจะไม่เข้าใจ หรือสงสัย ด้วยรสชาติมันเหมือนกินถั่ว กว่าจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อแสดงอาการมากแล้ว จึงค่อนข้างอันตรายสำหรับเด็ก และที่สำคัญหากรับประทานแล้วเกิดอาการผิดปกติให้รีบพบแพทย์ทันที ทั้งนี้ ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หมายเลขโทรศัพท์สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
ข้อมูล : กรมควบคุมโรค
ข่าวที่เกี่ยวข้อง