"Evusheld" สธ.เผยผลการศึกษาพบ ลดป่วยหนัก เสียชีวิตจากโควิดได้ เหมาะสำหรับผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ข่าวที่น่าสนใจ
นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นพ.ทรงคุณวุฒิระดับ 11) ในฐานะประธานคณะกรรมการ MIU กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า วัคซีนโควิด เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการป้องกันโรค ส่วน “Evusheld” เป็นแอนติบอดีได้รับการขึ้นทะเบียน เพื่อใช้ในภาวะฉุกเฉินสำหรับป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อไวรัสโควิด ในผู้ที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไป และน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 40 กิโลกรัม ที่สหรัฐอเมริกาเมื่อเดือนธันวาคม 2564 และยุโรปเมื่อเดือนมีนาคม 2565
เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ที่อาจตอบสนองทางภูมิคุ้มกันต่อวัคซีนโควิดได้ไม่ดี หรือคนที่มีข้อห้ามในการฉีดวัคซีน หรือไม่ยอมฉีดวัคซีน ด้านคณะกรรมการ MIU โดยทีมวิจัยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ร่วมกับ กรมควบคุมโรค จึงได้ดำเนินการศึกษาในประเทศไทย โดยใช้แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ในการทำนายต้นทุนและผลลัพธ์ทางสุขภาพของการให้ ในผู้ป่วย 3 กลุ่ม ได้แก่
- ผู้ป่วยล้างไต
- ผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ
- ผู้ป่วยด้วยโรคที่เกี่ยวข้องภูมิคุ้มกันของตนเอง (autoimmune diseases)
พบว่า สามารถป้องกันการติดเชื้อโควิด การป่วยหนักและเสียชีวิตในผู้ป่วยทั้ง 3 กลุ่มในระยะเวลา 6 เดือนได้ นอกจากนี้ การตรวจคัดกรองระดับภูมิคุ้มกันก่อนให้ “Evu sheld” จะทำให้การใช้ในผู้ป่วยมีความคุ้มค่ามากขึ้น และยังลดงบประมาณในการจัดซื้อได้มากกว่าครึ่งเลยทีเดียว
ขณะที่ราคา “Evu sheld” ที่ใช้ในแบบจำลองเท่ากับ 25,000-29,000 บาท/คน สำหรับระยะเวลา 6 เดือน ทำให้มีความคุ้มคำสำหรับผู้ป่วยล้างไต และหากต้องการความคุ้มค่าในประเทศไทย รัฐบาลควรต่อรองราคาให้เหลือ 15,000 บาท สำหรับใช้ในผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ และ 7,800 บาทสำหรับใช้ในผู้ป่วยเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันตนเอง
นพ.รุ่งเรืองยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ในอนาคตจำเป็นต้องมีระบบติดตามผู้ป่วยหลังได้รับ Evu sheld เพื่อประเมินระดับของแอนติบอดีในการยับยั้ง การเพิ่มจำนวนไวรัสในร่างกายกับเชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ ๆ ที่พบในประเทศไทยเป็นระยะ นอกจากนี้ การทำสัญญาจัดซื้อควรทำในระยะสั้น หรือมีเงื่อนไขในการยกเลิกการซื้อในสถานการณ์ที่เชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่เกิดการหลบหลีกภูมิต้านทานได้ ซึ่งได้รายงานให้ที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข รับทราบรายงานผลการศึกษาแล้ว จะได้เตรียมความพร้อมในการนำมาใช้ในประเทศไทยเพื่อประโยชน์ของผู้ป่วยต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง