ที่กระทรวงสาธารณสุข นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงประเด็นที่มีเอกสารจากที่ประชุมเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 ยี่ห้อไฟเซอร์ที่จะเข้ามาในประเทศไทยจากการบริจาคของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะนำมาฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อการกระตุ้นเข็มที่ 3 ว่า วัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 1.5 ล้านโดส เกิดจากการประสานงานระหว่างรัฐบาล 2 ประเทศ เงื่อนไขการตกลงต่างๆ อยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งต้องแจ้งมายังกระทรวงสาธารณสุขที่เป็นผู้นำมาใช้ เบื้องต้นวัคซีนไฟเซอร์ ไม่มีเงื่อนไข แต่เราก็ต้องนำวัคซีนมาฉีดให้เหมาะสม ประเทศไทยมีชาวต่างชาติจำนวนมาก เพื่อสร้างความปลอดภัยให้คนในประเทศ เราก็พร้อมจะฉีดให้เขาด้วย ส่วนเอกสารดังกล่าว ก็เป็นเอกสารภายในจากการประชุมของคณะกรรมการวิชาการ เราไม่ควรที่จะไปพิพากษ์วิจารณ์ เพราะเป็นเรื่องของวิชาการ ตราบใดที่ยังไม่ได้มาเป็นขั้นตอนปฏิบัติ ก็ยังไม่มีผลอะไร เพราะหลังจากนั้นต้องมีอีกหลายขั้นตอน ที่จะตกลงกันว่าจะปฏิบัติในแนวทางไหน
ส่วนจะนำวัคซีนไฟเซอร์มาฉีดเป็นเข็มที่ 3 ให้บุคลากรแพทย์หรือไม่นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า เป็นเรื่องวิชาการ ตนให้ความเห็นไม่ได้ รอให้คณะกรรมการวิชาการตกผลึกออกมา และตนก็พร้อมสนับสนุน เช่น ไฟเซอร์ต้องใช้น้ำเกลือผสมเพิ่มในการฉีด ตนก็จะจัดหางบประมาณในส่วนนี้มารองรับ สำหรับกรณีมีข้อความในเอกสารระบุว่า หากใช้เป็นเข็มที่ 3 ให้บุคลาการแพทย์/ด่านหน้า ก็จะถือว่าเป็นการยอมรับว่าวัคซีนซิโนแวค มีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ก็ต้องสอบถามไปยังอาจารย์เหล่านั้น แต่ไม่ใช่วิพากษ์วิจารณ์กันไปโดยที่ยังไม่มีแนวทางปฏิบัติหรือผลบังคับใช้ อย่างไรก็ตามขอให้คนที่มีหน้าที่ได้ทำงาน เวลาวิพากษ์วิจารณ์อะไรในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว มันก็พูดได้หมด วัคซีนซิโนแวค ก็ฉีดคนละ 2 เข็มตามที่มีการขึ้นทะเบียนไว้ ประสิทธิภาพ ประสิทธิผล ก็อยู่เหนือเกณฑ์ อย่างเช่นที่ภูเก็ต ผลการศึกษาก็พบว่า มีประสิทธิภาพถึง 80% ที่เมืองจีน ฉีดทั้งประเทศ ผู้นำประเทศก็ฉีด ก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีผลอะไร เราก็ทำตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้