ติดตามต่อเนื่องกับประเด็นปัญหาการประมูล ท่อส่งน้ำอีอีซี มูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้าน ซึ่งยืดเยื้อมาตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค. 2564 หลังจากคณะกรรมการคัดเลือกฯ กรมธนารักษ์ พิจารณาผลคะแนนประมูล แล้วปรากฎว่า บมจ. จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด หรือ อีสท์ วอเตอร์ ได้คะแนน 173.83 คะแนน และ บริษัทวงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ได้คะแนน 170.10 คะแนน
แต่ปรากฎว่าคณะกรรมการคัดเลือกฯ กรมธนารักษ์ กลับเรียกประชุมพิจารณา ลงมติเสียงข้างมาก เมื่อวันที่ 24 ส.ค. 2564 ให้ยกเลิกการประมูล พร้อมการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขการประมูลสำคัญ ๆ ก่อนสรุปผลว่า บริษัทวงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ชนะการประมูลรอบที่สอง เมื่อวันที่ 30 ก.ย.2564 จนเกิดการฟ้องร้องขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครอง และหน่วยงานเกี่ยวข้องอย่าง ป.ป.ช. มาจนถึงทุกวันนี้
ขณะเดียวกันในทางการเมือง ประเด็นเรื่องการประมูลท่อส่งน้ำอีอีซี มีกระแสมาโดยตลอด ว่าจะเป็นหัวข้อหนึ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง โดยล่าสุด นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ระบุถึงกรณีการเตรียมประเด็นการอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 151 ว่า สำหรับรายละเอียดของการอภิปรายครั้งนี้ ตนจะอภิปรายรัฐมนตรีคนไหน และประเด็นใดบ้างนั้น ขออนุญาตยังไม่ให้สัมภาษณ์สื่อในขณะนี้
เพราะเพิ่งทราบจากว่า นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ส่งหนังสือขอให้ 7 พรรคร่วมฝ่ายค้านที่ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ดำเนินการลงนามยืนยันความถูกต้องของญัตติที่เสนอมาอีกครั้ง ก่อนส่งกลับให้ภายในวานนี้ ( 21 มิ.ย.) ทำให้ตนต้องดำเนินการเรื่องให้เสร็จสมบูรณ์ก่อน จากนั้นจะให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนอีกครั้ง เพราะตอนนี้มีขั้นตอนส่งญัตติกลับมาให้แก้ไข หากตนไปพูดอะไรไปก่อนเกรงว่าจะผิดขั้นตอนได้ และ พรรคเพื่อไทยจะมีการประชุมเพื่อวางตัวผู้อภิปราย และขั้นตอนการแบ่งกรอบเวลาการอภิปรายกันของส.ส.ภายในพรรค
แม้ว่าที่ผ่านมาประเด็นเรื่องการประมูลท่อส่งน้ำ EEC ได้รับการยืนยันว่า จะเป็นหัวข้อหนึ่งในการซักฟอก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ในฐานะผู้รับผิดชอบ การประปาส่วนภูมิภาค และ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.กระทรวงการคลัง ในฐานะทำหน้าที่เป็นประธานประชุมบอร์ดที่ราชพัสดุ
และด้วยสถานการณ์ปัญหา ซึ่งกำลังบานปลายจากขั้นตอนการตัดสินใจของกรมธนารักษ์ และบอร์ดที่ราชพัสดุ ไปสู่การใช้เป็นประเด็นซักฟอก ทำให้ต้องพิจารณาแต่ละขั้นตอนปัญหานี้อีกครั้งอย่างละเอียด เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องเกิดค่าโง่เหมือนบางโครงการที่ภาครัฐในอดีตดำเนินการแล้ว ต้องกลับมาเป็นภาระให้รัฐบาลปัจจุบันต้องรับผิดชอบ อย่างกรณีโครงการทางด่วน ที่โดนฟ้องร้อง จนภาครัฐต้องยอมขยายสัมปทานให้กับภาคเอกชน หรือ กรณี โครงการระบบการขนส่งทางรถไฟยกระดับในกรุงเทพมหานคร ซึ่งอยู่ระหว่างต่อสู้คดี ในชั้นการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ว่า กระทรวงคมนาคม ต้องจ่ายค่าก่อสร้างโครงการ 11,888 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% รวมประมาณ 24,798 ล้านบาท ให้กับบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือไม่
โดยประเด็นสำคัญ ๆ ที่ต้องพิจารณาก็คือ 1. ข้อความในหนังสือของศาลปกครอง เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2565 แจ้งชัดเจนต่อผู้ร้องและผู้ถูกร้อง ให้พึงพิจารณาร่วมกัน โดยศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ผู้ฟ้องคดีฟ้อง หรือ บริษัทอีสท์วอเตอร์ ขอให้เพิกถอนมติ หรือ คำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 หรือ คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนในการจัดให้เช่า / บริหารระบบท่อส่งน้ำภาคตะวันออก ที่ยกเลิกการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ตามประกาศเชิญชวนเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2564
แต่ในระหว่างการพิจารณาคดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฎว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ได้มีประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมยื่นข้อเสนอในโครงการที่พิพาทครั้งใหม่ ตามประกาศเชิญชวนเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ลงวันที่ 10 กันยายน 2564 ซึ่งปัจจุบันได้มีการพิจารณาผู้ได้รับคะแนนประเมินสูงสุดแล้ว
กรณีนี้หากการคัดเลือกเอกชนเพื่อเข้าทำสัญญาในโครงการดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไป จนมีการลงนามในสัญญา ย่อมทำให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้ยื่นข้อเสนอในการประกาศเชิญชวนเอกชนเข้าร่วมยื่นข้อเสนอครั้งแรกได้รับความเสียหาย
เนื่องจากมาตรา 119 วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 บัญญัติให้การฟ้องคดีไม่มีผลกระทบต่อการจัดซื้อจัดจ้างที่หน่วยงานของรัฐได้ลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างแล้ว จึงย่อมทำให้การฟ้องคดีนี้ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ฟ้องคดีในการแก้ไขเยียวยาความเสียหายจากมติหรือคำสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่ยกเลิกการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกครั้งแรก
ประกอบกับโครงการพิพาทมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เอกชนบริหารจัดการและดูแลรักษาระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกให้สามารถตอบสนองความต้องการใช้น้ำของชุมชนและกิจกรรมต่าง ๆ ได้อย่างเพียงพอและทันต่อการณ์ โดยบริหารจัดการเพื่อให้เกิดเสถียรภาพและความมั่นคงที่มีผลต่อขีดความสามารถในการแข่งขันในภาคตะวันออก
ดังนี้ หากการยกเลิกการคัดเลือกเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงอาจเป็นอุปสรรคแก่การบริการสาธารณะด้านการให้บริการสาธารณูปโภค
ศาลจึงมีคำสั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาโดยเร่งด่วนตามข้อ 49/2 แห่งระเบียบของที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2543