AFP รายงานว่าโรงพยาบาลและคลินิคทั่วสหรัฐเริ่มฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้กับประชากรกลุ่มทารกแล้ว โดยเริ่มเมื่อวานนี้เป็นวันแรก ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งเดินทางไปดูการฉีดวัคซีนที่คลินิคในกรุงวอชิงตัน ได้ออกมาขานรับ พร้อมกล่าวว่าการฉีดวัคซีนให้ทารก ซึ่งเป็นประชากรกลุ่มที่อายุน้อยที่สุดถือเป็นจุดเปลี่ยน และเหตุการณ์สำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงให้กับเด็กทารก ซึ่งเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ตกค้างจากการฉีดวัคซีน หลังจากที่ประชากรกลุ่มแรกซึ่งเป็นกลุ่มผู้สูงอายุได้รับวัคซีนไปเมื่อ 18 เดือนที่แล้ว ทั้งนี้ไบเดนกล่าวว่าสหรัฐเป็นประเทศแรกที่เริ่มฉีดวัคซีนโควิดให้กับกลุ่มทารกวัย 6 เดือนขึ้นไป
อมิชา วาคิล แม่ของลูกชายแฝดสองวัย 3 ขวบซึ่งนำลูกทั้งสองมาเข้ารับการฉีดวัคซีนของโมเดอร์นา ที่โรงพยาบาลเด็กในนครฮุสตัน กล่าวว่าเธอรู้สึกดีใจมากที่ในที่สุดลูกชายได้ฉีดวัคซีนเสียที เนื่องจาก 1 ในฝาแฝดเคยเข้ารับการผ่าตัดหัวใจมาแล้ว 3 ครั้ง จึงเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจติดโควิดได้ง่าย ทั้งนี้รายงานระบุว่าเด็กเล็กส่วนใหญ่ที่เข้ารับการฉีดวัคซีนครั้งนี้เกิดมาพร้อมกับการระบาดของโควิด และมาตรการคุมเข้ม พ่อแม่หลายคนจึงพากันยินดีและโล่งอกที่ในที่สุด ลูกหลานจะได้ใช้ชีวิตแบบปกติที่ควรเป็น และจะสามารถพาเข้าอาคารและสถานที่ต่างๆได้แล้ว หลังจากฉีดวัคซีน
โครงการฉีดวัคซีนโควิดให้กับกลุ่มทารกที่สหรัฐมีขึ้นหลังจากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐหรือ CDC และองค์การอาหารและยาสหรัฐหรือ FDA อนุมัติรับรองว่าวัคซีนโควิดของโมเดอร์นา และไฟเซอร์มีความปลอดภัยและมีประสิทธิภาพสำหรับกลุ่มทารก โดยวัคซีนของโมเดอร์น่าอนุมัติให้ฉีดในทารกวัย 6 เดือนถึง 5 ปีส่วนไฟเซอร์สำหรับ 6 เดือนถึง 4 ปี
โควิดทำให้เด็กอเมริกันวัย 6 เดิอนถึง 4 ปีล้มป่วยและเข้าโรงพยาบาลมากกว่า 4 หมื่น 5 พันคน และเสียชีวิตเกือบ 500 คน
อย่างไรก็ตามผลสำรวจของกองทุนไคเซอร์ ซึ่งเป็นหนึ่งในระบบโรงพยาบาลใหญ่ของสหรัฐเผยว่า มีพ่อแม่เด็กราว 1 ใน 5 เท่านั้นที่นำลูกเข้ารับการฉีดวัคซีนโดยทันที ขณะที่ร้อยละ 38 บอกว่าจะขอรอดูผลการฉีดของเด็กคนอื่นๆก่อน ขณะที่ผู้ว่าการรัฐฟลอริด้า ไม่ยอมสั่งวัคซีนเข้ามาฉีดในรัฐของตน ทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองต้องนำลูกหลานไปหาวัคซีนฉีดกันเองตามคลินิคเอกชน