90 ปี “คณะราษฎร” ประชาธิปไตยจอมปลอม แย่งชิงอำนาจกันเอง

90 ปี “คณะราษฎร” ประชาธิปไตยจอมปลอม แย่งชิงอำนาจกันเอง เบียดบังทรัพย์สินพระมหากษัตริย์มาเป็นของตัวเองและพวกพ้อง

24 มิถุนายน 2475 เป็นวันที่ “คณะราษฎร” นำโดยนายปรีดี พนมยงค์ และพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนาก่อการปฏิวัติ ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทย จากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยมีหลัก 6 ประการ คือ “เอกราช ปลอดภัย เศรษฐกิจ เสมอภาค เสรีภาพ การศึกษา”

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ถือเป็นเวลา 90 ปี ที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง เราไปย้อนดูกันว่า ในช่วงที่คณะราษฎรมีอำนาจ กระทั่งมาหมดบทบาทอย่างสิ้นเชิงในในช่วงปี พ.ศ.2500 จากการที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ รัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม สายตรงคนสุดท้ายของคณะราษฎร “คณะราษฎร” ได้ทำอะไรไว้กับประเทศไทยบ้าง

-แย่งชิงพระราชอำนาจจากสถาบันพระมหากษัตริย์มาสู่พวกพ้องตนเอง จับพระบรมวงศานุวงศ์เป็นตัวประกัน ขู่เข็ญและให้ร้ายพระเจ้าอยู่หัว

-เมื่อคณะราษฎรได้อำนาจมา ก็ใช้อำนาจไปในทางแสวงหาประโยชน์ มิหนำซ้ำยังแย่งชิงอำนาจกันเอง จนทำให้หลัก 6 ประการล้มเหลว ตระบัดสัตย์ต่อปณิธานในการก่อการ ซึ่งในช่วงดังกล่าวมีเหตุการณ์ “รัฐประหาร” และ “กบฏ” เกิดขึ้นรวมกันถึง 14 ครั้ง เช่นวันที่ 20 มิถุนายน 2476 พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา ผู้นำคณะราษฎร ได้ยึดอำนาจการปกครองของพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่าคณะรัฐมนตรีบริหารราชการไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ขาดความชอบธรรมทางการเมือง ถือเป็นรัฐประหารที่คณะราษฎรสายทหารแย่งอำนาจสายพลเรือน

-คณะราษฎรไม่ได้วางรากฐานประชาธิปไตยอย่างที่คุยโม้โออ้วด แต่อ้างประชาธิปไตยเพื่อตนเองและพรรคพวก

-2 มีนาคม พ.ศ. 2477 “ในหลวง รัชกาลที่ 7” ทรงสละราชสมบัติ ซึ่งพระองค์ทรงมีพระราชหัตถเลขาตอนหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่าคณะรัฐบาลและพวกพ้อง ใช้วิธีการปกครองซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการความยุติธรรมตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใดคณะใดใช้วิธีการปกครองอย่างนั้น ในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้ ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร

-คณะราษฎรเข้ามาจัดการทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ แสวงหาผลประโยชน์จากที่ดินพระคลังข้างที่ไปเป็นของตนเองและพวกพ้อง ตัวอย่างกรณี ขุนนิรันดรชัย หรือ พ.ต.สเหวก นิรันดร ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบพระคลังข้างที่กับทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ปี 2475-2491 ได้นำทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มาเป็นของตนเองโดยมิชอบ โดยครอบครองที่ดินย่านธุรกิจในกรุงเทพฯกว่า 90 แปลง กระทั่งวันที่ 26 ธันวาคม 2563 พลโทสรภฎ นิรันดร บุตรชายของขุนนิรันดรชัย ได้ออกมาแถลงข่าวขอสำนึกผิดแทนบิดา พร้อมประกอบพิธีขอพระราชทานอภัยโทษต่อพระบรมฉายาลักษณ์ ในหลวง ร. 7 ในหลวง ร.8 และ ในหลวง ร.9 แทนบิดา

-รถไฟไทยต้องหยุดพัฒนา เพราะการเมืองภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองไม่ได้ราบรื่น และแย่งชิงอำนาจกันในหมู่นักการเมือง โดยเมื่อสิ้น รัชกาลที่ 8 ประเทศไทยมีทางรถไฟยาวขึ้นกว่าสมัยรัชกาลที่ 7 เพียง 200 กว่ากิโลเมตรเท่านั้น ทั้งที่ในช่วงรัชกาลที่ 7 พระองค์ทรงให้ความสำคัญกับรถไฟเป็นอย่างมาก ประเทศไทยมีทางรถไฟยาวเพิ่มขึ้นกว่า 3,000 กิโลเมตร โดยหัวเรือใหญ่ในการสนองพระบรมราโชบายพัฒนารถไฟก็คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ซึ่งมีพระปรีชาสามารถในด้านรถไฟ ทรงขยายทางรถไฟสายอีสาน จากนครราชสีถึงอุบลราชธานี สายตะวันออกจากฉะเชิงเทราถึงอรัญประเทศ ฯลฯ อย่างไรก็ตาม หลังจากการปฏิวัติ พระองค์ต้องพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ทางราชการทั้งหมด และต้องเสด็จลี้ภัยไปประทับที่สิงคโปร์

-คณะราษฎรทุบวังวินด์เซอร์ทิ้ง เพื่อก่อสร้างสนามกีฬาชื่อศุภชลาศัย ซึ่งเป็นชื่อของ “หลวงศุภชลาศัย” คนของกลุ่มคณะราษฎร ซึ่งเป็นอธิบดีกรมพลศึกษาในขณะนั้น ทั้งที่พื้นที่วังวินด์เซอร์ไปทับแปลนของสนามกีฬาเพียงแค่เสี้ยวเดียวเท่านั้น โดยวังแห่งนี้สร้างขึ้นตามพระประสงค์ของในหลวง รัชกาลที่ 5 เพื่อพระราชทานเป็นสถานที่ประทับของ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร องค์แรกแห่งสยามประเทศ แต่พระองค์เสด็จสวรรคต ขณะมีพระชนมายุ 16 พรรษา

-การแย่งชิงอำนาจของผู้นำคณะราษฎร เป็นต้นแบบของการรัฐประหารในประเทศไทย เช่น กรณี จอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่เป็นประธานการประชุมคณะราษฎรครั้งแรกที่ปารีส แต่จบด้วยยึดอำนาจให้ตนเอง และเป็นนายกฯนานถึง 8 สมัย 15 ปี

 

 

ทั้งนี้ ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ “ดร.นิว” นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ได้ให้ความเห็นว่า 24 มิถุนา 2475 ไม่ใช่การปฏิวัติและไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐานในการเมืองการปกครองของสยามแต่อย่างใด หากแต่เป็นเพียงแค่การเปลี่ยนมือของอำนาจปกครองจากพระมหากษัตริย์ไปสู่คณะปกครองกลุ่มใหม่ดังนั้นประเทศไทยจึงไม่เคยมีประชาธิปไตยมาตั้งแต่ต้น นับตั้งแต่ 24 มิถุนา 2475 จนถึงวินาทีนี้ อำนาจอธิปไตยของปวงชนยังคงเป็นจริงเพียงแค่ในกระดาษ โดยที่ปวงชนชาวไทยถูกลัทธิรัฐธรรมนูญของคณะราษฎรหลอกลวงมาอย่างต่อเนื่องยาวนานถึง 90 ปี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

แองเจิล หยิน หวดสถิติใหม่ 28 อันเดอร์พาร์ คว้าแชมป์ฮอนด้า แอลพีจีเอ ไทยแลนด์ 2025 จีโน่-อาฒยา ดีสุดของไทยได้อันดับ 3  แพตตี้-ปภังกร โม-โมรียา อันดับ 4 ร่วม
"พุทธิพงษ์" หนุน "บ้านเพื่อคนไทย" ชี้ควรทำอย่างโปร่งใส กระจายโอกาสถึงผู้มีรายได้น้อยให้ครบทุกภูมิภาค
"อดีตสว.สมชาย" เผย "ท็อปนิวส์" ละเอียดยิบ ขบวนการทุจริต "ฮั้วเลือกสว." ลั่น "ดีเอสไอ" ต้องรับเป็นคดีพิเศษ
"ไทย-กัมพูชา" บุกจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เมืองปอยเปต พบคนไทยกว่า 100 คน เตรียมส่งกลับประเทศพรุ่งนี้
"จุฬาราชมนตรี" แถลงเตรียมจัดงาน "เมาลิดกลาง แห่งประเทศไทย" ครั้งที่ 59 เริ่ม 18- 20 เม.ย.นี้
จนท.รวบ "หนุ่มไทยเชื้อสายอินเดีย" หอบเงิน 15.7 ล้าน เข้าไทย อ้างเล่นพนันได้จากฝั่งปอยเปต
โผล่อีก “หมู่บ้านเขมร” จองแผ่นดินไทย อึ้ง! อุ้มลูกเดินยั้วเยี้ย ตร.เพิ่งจะจับ
งามไส้! “หนุ่มไทย” พกปืน-กระสุนใส่เต็มแม็ก คุ้มกัน “พม่าเถื่อน” เข้าเมือง
ผู้นำสหรัฐเรียกนายกฯแคนาดาว่า” ขี้แพ้”
เพจดังจับโป๊ะพรรคส้ม ขุดยับ “เท้ง-ไอซ์” นำทีมสส.ร่วมทริปกมธ. บินเกาหลีใต้ ใช้งบฯหลักล้านคาใจดูงานแน่เปล่า

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น