ผลสำรวจโพลของศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ในประเด็นพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุนในวันนี้ ที่พรรคพลังประชารัฐของ “หัวหน้าป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หล่นลงมาเป็นอันดับ 4 ของวงการ โดยมีคะแนนร้อยละ 7.00 ตามหลังอันดับ 1 อย่างพรรคเพื่อไทยที่ได้ร้อยละ 36.36 แบบสุดกู่ แม้แต่การเลือกไม่สนับสนุนพรรคใดที่ได้อันดับ 2 ยังมีคะแนนสูงถึงร้อยละ 18.68 ส่วนพรรคก้าวไกล ตามมาอันดับ 3 ด้วยคะแนนร้อยละ 17.88 ถามว่าผลคะแนนดังกล่าวสะท้อนอะไร ชัดเจนว่าทำให้เห็นความตกต่ำขาลงของพรรคพลังประชารัฐอย่างชัดเจน แถมคะแนนที่ตกลงมาดังกล่าวไม่ใช่เพิ่งมาตกตอนเดือนนี้ แต่ตกมาตั้งแต่การสำรวจเมื่อปีที่แล้ว ย้อนกลับไปตอนช่วงเดือนก.ย.2564 พรรคพลังประชารัฐมีคะแนนนิยมอยู่ที่ร้อยละ 9.51 จากนั้นในเดือนธ.ค.ก็ตกลงมาอยู่ที่ร้อยละ 8.99 ขึ้นปี 2565 เดือนมี.ค. ก็ลดลงมาเหลือ 7.03 และอยู่ที่ 7.00 ในปัจจุบัน ชัดเจนว่าการสำรวจเสียงชาวบ้าน 4 ครั้งในรอบ 9 เดือนของนิด้าโพลแสดงให้เห็นการเสื่อมความนิยมของพรรคพลังประชารัฐอย่างมีนัยยะสำคัญ ในขณะที่พรรคพลังประชารัฐขาลงแต่คู่แข่งพรรคตรงข้ามอย่างพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล กลับได้คะแนนความนิยมสูงขึ้น โดยคะแนนที่สูงขึ้นของพรรคทักษิณกับพรรคล้มเจ้า ก็มาจากฐานเสียงของคนไม่สนับสนุนพรรคใดที่ตัดสินใจเทคะแนนให้ทั้ง 2 พรรคมากขึ้น
เรื่องนี้ถือเป็นสัญญาณอันตรายที่บิ๊กป้อมและบรรดาแกนนำพรรคพลังประชารัฐมิควรมองข้าม ถามว่าพรรคพลังประชารัฐเริ่มตกต่ำมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ก็ต้องย้อนความกลับไปตอนสมัยที่ “ผู้กอง” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ยังอยู่เป็นเลขาธิการพรรค ก่อนจะเกิดเรื่องราวใหญ่โตตามมามากมาย ถึงขั้นแตกหักจนพรรคต้องมีมติขับร.อ.ธรรมนัญกับพวกรวม 21 คนพ้นจากพรรคไปก่อนที่ผู้กองจะไปตั้งพรรคเศรษฐกิจไทย แต่ภายหลังเหตุการณ์ดังกล่าวพรรคพลังปนระชารัฐแทบไม่ขยับทำอะไรให้เห็นเป็นชิ้นเป็นอันเลย แม้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ พยายามจะส่งคนมาช่วยมาทำงานพรรคอย่างการส่ง “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคย์ ที่ปรึกษานายกฯ หรือ “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกฯ มาช่วย แต่ก็เข้าไม่ถึงบิ๊กป้อมไม่ถูกพรรคนำไปใช้งานในทางที่ถูกที่ควร ที่สุดคนดีคนเก่งคนทำงานก็ท้อใจต้องหันหลังเดินจากพรรคไป
ขณะที่สภาพภายในพรรคพลังประชารัฐก็ต้องบอกว่า หนักไปทาง “ประสานงา” มากกว่า “ประสานงาน” มีการแบ่งเป็นก๊กแบ่งเป็นเหล่าแบ่งเป็นก๊วน ไม่เคยรวมเป็นเนื้อเดียวกัน เพราะมีขั้วอำนาจหลายสาย หลายฝ่ายรวมตัวกัน แถมแต่ละคนก็ล้วนเขี้ยวราก เป็นประเภท “ เสือ สิงห์ กระทิง แรด” ในวงการแทบทั้งสิ้น ต่างคนต่างก็มีมุ้งเล็กมุ้งน้อยเป็นของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสามมิตรของ “สุริยะ -สมศักดิ์- อนุชา” กลุ่มชลบุรีของสุชาติ กลุ่มของสันติแม่บ้านพรรค กลุ่มเพื่อนเก่าธรรมนัสที่มีวิรัช-นฤมล ฯลฯ ต้องบอกว่าที่เละจนไร้เอกภาพแบบนี้ ส่วนสำคัญต้องโทษไปที่หัวหน้าอย่างพล.อ.ประวิตรว่า “ฟอร์มตก” ไปมาก แม้จะเคยเป็นพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ เป็นนายทหารผู้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรในกองทัพ เป็นคนที่เคยอยู่สูงสุดในการจัดสรรปันส่วนอำนาจมาโดยตลอด แต่ ณ ปัจจุบันฝีไม้ลายมือคมเขี้ยวของบิ๊กป้อมตกลงไปมาก เช่นเดียวกับสังขารร่างกาย ไม่ฟิตเปรี้ยะ หนักแน่น แหลมคม เหมือนเก่า ผลลัพธ์ที่ออกมาจึงสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในพรรคพลังประชารัฐอย่างชัดเจน คือ “ เละตุ้มเป๊ะ” เลือกตั้งซ่อมหลายจังหวัด 3- 4 ครั้งที่ผ่านมาก็แพ้กราวรูด ชุมพร สงขลา หลักสี่ กทม. หรือสนาม ส.ก.ล่าสุด
พล.อ.ประวิตรอาจจะบริหารอำนาจจัดการแม่ทัพนายกองเก่งกาจชนิดหาตัวจับยาก แต่ถ้ามองจากการขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐบริหารพรรคการเมืองต้องบอกว่า “สอบตก” เพราะตั้งแต่ขึ้นเป็นใหญ่พรรคก็มีปัญหาสารพัดเรื่องไม่หยุดหย่อน บารมีอาจจะมาก เงินอาจจะถึง แต่ภาพรวมการบริหารจัดการพรรค ต้องบอกว่าลุงป้อมมือไม่ถึงจริงๆ ทิศทางไม่มี นโยบายไม่ชัด ผู้สมัครก็ยังไม่พร้อม พลังประชารัฐเลยมีแต่ “ทรง” กับ “ทรุด” แค่เรื่องที่พรรคไม่ส่งเสริมเกื้อกูลการทำงานของพล.อ.ประยุทธ์เลย แถมยังปล่อยให้แกนนำบางคนในอดีตกลายเป็นหอกข้างแคร่นายกฯ เรื่องนี้ก็ถือว่าพรรคไม่เอาไหนมากพอแล้ว ที่ไม่รักษา “ขุน” ให้ดี ปล่อยให้ “เบี้ย” มาทำลาย ไม่ต้องไปพูดถึงประเด็นอื่น โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับพรรคคู่แข่งอย่างพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล หรือพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคภูมิใจไทย หรือ พรรคประชาธิปัตย์ ฯลฯ ที่ทุกพรรคดูแลแคนดิเดตนายกฯหรือหัวหน้าพรรคตัวเองแบบ “ไข่ในหิน” ชนิด มดไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ผิดกับบิ๊กตู่ที่ถูกพลังประชารัฐทิ้งๆขว้างๆมาโดยตลอด จนโดนวิชามารฝ่ายตรงข้ามทำให้เสื่อม หนำซ้ำการออกตัวเตรียมพร้อมเลือกตั้งก็อืดกว่าใครเพื่อนช้าเป็นเรือเกลือ เอาง่ายๆแค่จุดขายพรรคตอนนี้ยังแทบไม่รู้ว่าชูอะไรขายเรื่องไหน พรรคเพื่อไทยขายเรื่องแลนด์สไลด์คืนประชาธิปไตยแก้ยากจน พรรคก้าวไกลเน้นเรื่องปฏิรูปไทยทุกด้านชูเรื่องลดความเหลื่อมล้ำ พรรคภูมิใจไทยพูดแล้วทำ พรรคประชาธิปัตย์พูดแล้วทำได้จริงไม่ทิ้งประชาชน
ยิ่งไปดูคนเดินเข้ากับคนเดินออกจากพรรคตอนนี้ก็ชัดเจน มีแต่แถวสองแถวสาม ไร้เงาหัวกะทิไม่มีคนดังเดินเข้าพรรคให้เชิดหน้าชูตาเลยแม้แต่คนเดียว ชื่อของ “เสี่ยโต” อภิชัย เตชะอุบล ที่ย้ายมาจากพรรคประชาธิปัตย์แบบที่พรรคเขาไม่เอา ชื่นชอบ คงอุดม ลูกชาย เจ้าพ่อชัช เตาปูน สมรักษ์ คำสิงห์ อดีตฮีโร่เหรียญทองโอลิมปิก หยอง ลูกหยี ดาวตลกชื่อดัง หรือ สุนทร รักษ์รงค์ แกนนำชาวสวนยาง ที่ทิ้งพรรคประชาธิปัตย์วันเดียวแล้วมาสวมเสื้อพรรตคพลังประชารัฐ เหล่านี้เป็นพวก “แม่เหล็ก” ทางการเมืองหรือไม่ ส่วนพวกที่ออกไปก่อนหน้านี้ทั้งก๊วนร.อ.ธรรมนัสที่ไปตั้งพรรคใหม่ สุพล ฟองงาม กับ สันติ กีระนันทน์ ที่ไปอยู่กับ 2 กุมาร ซบพรรคสร้างอนาคตไทยชู “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นนายกฯ หรือที่มีข่าวว่าเตรียมจะไปล่าสุดจนบิ๊กป้อมต้องออกโรงสะกิด อย่าง สมบัติ อำนาคะ ส.ส.สระบุรี , กรณิศ งามสุคนธ์รัตนา ส.ส. กรุงเทพฯ , วัชระ ยาวอหะซัน ส.ส.นราธิวาส , ธรรมวิชญ์ โพธิพิพิธ ส.ส.กาญจนบุรี ฯลฯ ดูทรงแล้วยังน่าลุ้นน่าสนใจกว่ารายชื่อที่เดินเข้ามาอีก แค่นั้นยังไม่พอข่าวว่ายังมีส.ส.จ้องทิ้งลุงป้อมอีกเพียบหากไม่คิดทำอะไร เข้าทำนองคนในอยากออก คนนอกไม่อยากเข้า เพราะอยู่ไปก็มีแต่แพ้แหง๋ๆ หากถึงเลือกตั้ง
เข้าคูหาหย่อนบัตรยังไม่รู้ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ แต่บวกลบคูณหารวัน ว. เวลา น. เต็มที่เหลือเวลาไม่ถึง 9 เดือน เพราะอายุสภาผู้แทนราษฎรจะครบวาระ 4 ปี ในวันที่ 23 มี.ค. 2566 แต่เชื่อขนมกินได้เลยว่าพล.อ.ประยุทธ์ไม่มีทางจะทำสถิติอยู่จนครบวาระเพราะจะทำให้เกิดกรณีเดดล็อคกับส.ส.เรื่อง 90 วัน เพราะฉะนั้นจะมีการยุบสภาก่อนครบวาระแน่นอน เพื่อให้ส.ส.สามารถย้ายพรรคได้ภายในเวลาสั้นลงแค่ 30 วันก่อนเลือกตั้ง นับไปนับมาก็เหลือเวลาแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น ตอนนี้เห็นพรรคพลังประชารัฐเริ่มขยับ ทั้งการแบ่งภาคให้แกนนำพรรคแต่ละคนรับผิดชอบลงพื้นที่คัดเลือกตัวบุคคล หรือแม้กระทั่งการเตรียมจัดโรดโชว์ 10 ภาค 10 จังหวัด หามบิ๊กป้อมกับแกนนำพรรคขึ้นเวทีลงไปหาเสียงไปพบปะชาวบ้าน มอบหมายภารกิจให้ “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ รมว.ดิจิทัลฯ ไปดูเรื่องการใช้โซเชี่ยลมีเดียร์หาเสียงกับคนรุ่นใหม่รวมทั้งเผยแพร่ผลงานของพรรค ให้ “อ.แหม่ม” นฤมลไปทำเรื่องนโยบายเอามาเป็นทีเด็ดหาเสียงเลือกตั้ง ถึงคิดช้าหรือเพิ่งคิดได้ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรปล่อยให้เวลาผ่านเลยไป
อีกเรื่องสำคัญที่อยากฝากให้บิ๊กป้อมและแกนนำพรรคพลังประชารัฐห้ามลืมคือการคิดคำนวณคะแนนส.ส.บัญชีรายชื่อ สรุปจะเอาแบบไหน 500หาร หรือ 100 หาร ล่าสุดหมอระวียกผู้แทนพรรคเล็กบุกไปหาบิ๊กป้อมถึงเซฟเฮ้าส์ ณ มูลนิธิป่ารอยต่อ ภายใน ร.1 รอ. ลุงป้อมยังอ้ำๆ อึ้งๆ ตีมึนคำตอบโบ้ยให้ไปคุยกับวิปรัฐบาลส่งสัญญาณแบบนี้ก็ชัดเจนว่ายังหนุน 100 หารหัวชนฝาหน้ามืดตามัว เลือกตั้งกรุงเทพฯก็เห็นมาแล้ว ผลโพลก็สะท้อนชัดแล้ว ยังดื้ออยาก 100 หารก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว Let it be แล้วกัน กฎหมายลูกจะเข้าสภา 5-6 ก.ค.นี้ ถ้ายังคิดไม่ออกว่าสูตรไหนทำให้พลังประชารัฐได้เปรียบ ถ้ายังคิดไม่ได้ว่าสูตรไหนจะช่วยสกัดเพื่อไทยหยุดแลนด์สไลด์เบรกอุ๊งอิ๊งบล็อคทักษิณได้ดีที่สุด ก็ถือว่าเวรกรรมของคนไทยและประเทศไทยแล้วกัน
/////////////////