เริ่มประชุมปุ๊บวุ่นปั๊บ เด็กก้าวไกลตีรวน “ชวน”

ที่ประชุมร่วมรัฐสภา เดินหน้าถกร่างพ.ร.บ.ตำรวจฯต่อเป็นวันที่ 7 ม. 169/1 ปมเรื่องการแต่งตั้งโยกย้าย ขณะที่ "ธีรัจชัย" ฟาดยัดไส้หน้างาน ช่วยใครบางคนมีอำนาจ ด้าน "สมชาย" เหน็บอย่ามาเเอบขอข้อมูล จากนั้นลงมติเสียงข้างมากไฟเขียวผ่าน 344 ต่อ 181 คน

วันที่ 5 ก.ค. 65 ที่รัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 7 มีการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ….วาระสองต่อเป็นวันที่เจ็ด ซึ่งเหลือการพิจารณาอีก 4 มาตรา จากทั้งหมด172 มาตรา โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดยที่ประชุมได้พิจารณาต่อในมาตรา 169/1 เรื่องการคัดเลือกและแต่งตั้งผู้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น โดยก่อนหน้านี้ที่ประชุมร่วมรัฐสภาเมื่อวันที่ 1 ก.ค. ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะกมธ.วิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. …. ได้เสนอขอเพิ่มข้อความในมาตราดังกล่าว ทั้งที่ไม่ได้เป็นผู้แปรญัตติ หรือเสนอสงวนคำแปรญัตติเอาไว้ว่าแต่ต้น ทำให้มีสมาชิกรัฐสภาหลายคนลุกขึ้นประท้วงว่าแบบนี้ไม่สามารถทำได้ และไม่ถูกต้องตามขั้นตอนข้อบังคับกาประชุม ทำให้พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร์ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในฐานะกมธ.ฯได้ขอที่ประชุมกลับไปพิจารณามาตราดังกล่าวใหม่อีกครั้ง

ทั้งนี้นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา ในฐานะกมธ. อภิปรายว่า กมธ.มีมติเห็นชอบแก้ไขมาตรา 169/1 ใหม่ เนื่องจากเห็นว่าในวาระเริ่มแรกภายใน 180 วัน นับตั้งแต่วันที่พ.ร.บ.ใช้บังคับ การคัดเลือกหรือแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งให้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่ใช้บังคับอยู่ในวันก่อนที่พ.ร.บ.ใช้บังคับ ในกรณีที่ไม่อาจนำหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขมาใช้บังคับได้ตามวรรคหนึ่ง การจะดำเนินการตามประกาศประการใดให้เป็นไปตามที่ก.ตร. ซึ่งกำหนดต้องไม่ขัดหรือแย้งกับพ.ร.บ.ฉบับนี้ เมื่อเราทำกฎหมายแล้วต้องรอบคอบ รัดกุม ไม่เกิดปัญหา ขณะทำกฎหมายเป็นช่วงคาบเกี่ยวการเปลี่ยนแปลงชีวิตพี่น้องตำรวจทั้งประเทศ ดังนั้นสภาฯน่าให้โอกาสตัดสินใจในการปรับย้าย เช่นการขอย้ายกลับจังหวัดหรือกลับภาคตัวเอง หลายคนอาจจะต้องตัดสินใจแบบไม่มียศหรือแบบโอนย้ายหรือไม่ ทางตำรวจสะท้อนมาให้ตนฟัง ยืนยันไม่มีส่วนประสงค์ใดเกี่ยวข้องกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จะชอบ จะเชียร์หรือต่อต้านใคร เพียงแต่กฎหมายนี้มีคนได้เปรียบเสียเปรียบเป็นธรรมดา แต่เราต้องสร้างกระบวนการนิติธรรมให้ได้ และไม่ให้เกิดการสะดุดในการเปลี่ยนผ่านการปฏิรูปตำรวจ

นายสมชาย อภิปรายต่อว่า เรามีระยะเวลา 180 วัน ไม่มากไม่น้อยไปกว่านี้ และการแต่งตั้งข้าราชการก็จะใช้ตามหลักที่ไม่ขัดหรือแย้งพ.ร.บ.ฉบับนี้ ช่วงนี้เป็นช่วงให้เวลาเขาปรับตัว จากการสอบถามผู้แทนสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้วตั้งแต่ระดับผบ.ถึงระดับล่าง ทั้งหมดจะดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 180 วันไม่ยืดเยื้อไปกว่านี้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นความมั่นใจว่าสภาฯจะออกกฎหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและใช้ประโยชน์ได้จริง โดยไม่เกิดสะดุดหยุดลง จึงขอความเห็นชอบจากสภาฯว่าเมื่อหน่วยปฏิบัติทำหน้าที่แล้วกฎหมายจะบังคับใช้ทันที มันเกิดปัญหา แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ หรือกฎหมายต่างๆยังมีบทเฉพาะกาล ซึ่งมาตรา 169/1 จึงขอให้สมาชิกรัฐสภาเห็นใจและเข้าใจหน่วยปฏิบัติด้วยว่าจะสามารถเปลี่ยนผ่านตามระยะเวลา 180 วันได้ครบถ้วนสมบูรณ์และไม่มีปัญหาในอนาคต

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ด้านพล.ต.อ.ปิยะ อภิปรายสนับสนุนเหตุผลการนำเสนอของกมธ.ฯว่า ในร่างกฎหมายนี้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งในส่วนจำนวนปีขั้นต่ำของการครองตำแหน่ง เพื่อเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น และการดำรงตำแหน่งให้มีความชำนาญงานเพียงพอสำหรับการเลื่อนตำแหน่งในแต่ละกลุ่มสายงาน หรือในแต่ละระดับ รวมทั้งการเลื่อนตำแหน่งและแต่งตั้งหมุนเวียนที่จะต้องดำเนินการภายในหน่วยระดับกองบัญชาการเป็นสำคัญ ด้วยเหตุนี้การกำหนดวันใช้บังคับ จึงควรมีระยะเวลาให้ข้าราชการตำรวจทุกระดับได้ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เกี่ยวกับตำแหน่งหน้าที่ เพื่อวางแบบแผนการรับราชการและชีวิตครอบครัวที่จะย้ายไปอยู่ในสังกัดที่ตัวเองมีความประสงค์ได้ และเพื่อรักษาความเที่ยงธรรมในการแต่งตั้งโยกย้าย ซึ่งส่วนใหญ่แล้วที่ประชุมรัฐสภาได้ผ่านไปตามมาตรา 80 ของพ.ร.บ.นี้แล้ว ยังได้มีบทบัญญัติให้กฎก.ตร.ที่ใช้บังคับในหลายเรื่องจะต้องครบกำหนด 180 วันก่อน ในขณะที่กฎหมายหลักกลับไม่มีระยะเวลาดังกล่าวในบทเฉพาะกาล เพื่อรักษาความเที่ยงธรรมในการแต่งตั้งให้ข้าราชการตำรวจได้ศึกษาและเตรียมตั้ว ทั้งที่มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงสิทธิในการพิจารณารับการแต่งตั้งเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นตามเกณฑ์ที่มีอยู่เดิมก่อนกฎหมายบังคับใช้ ซึ่งอาจเป็นการตรากฎหมายที่ขัดต่อหลักนิติธรรมและเพิ่มภาระหรือจำกัดสิทธิบุคคลเกินสมควร

พล.ต.อ.ปิยะ อภิปรายต่อว่า ทั้งนี้ตามมาตราต่างๆของร่างพ.ร.บ.ใหม่ จะเน้นให้ผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดทั้งในระดับกองบัญชาการ หรือตำรวจภูธรจังหวัดมีอำนาจพิจารณาแต่งตั้งภายในหน่วยเป็นหลัก จะแต่งตั้งข้ามหน่วยไม่ได้ รวมทั้งการแต่งตั้งหมุนเวียนระหว่างหน่วยจะทำได้เมื่อมีการตกลงกันระหว่างหน่วย ถือเป็นข้อดีอย่างยิ่ง แต่ในวาระเริ่มแรกข้าราชการตำรวจโดยเฉพาะชั้นผู้น้อย ระดับรองสารวัตรและผู้บังคับหมู่ยังไม่ได้รับรู้สิทธิและเตรียมตัวใช้กฎหมายที่จะบังคับใช้ในชีวิตราชการ ซึ่งจะทำให้การโยกย้ายกลับภูมิลำเนาได้ยากมาก เพราะต้องเป็นข้อตกลงระหว่ากงองบัญชาการ หรือหลายกรณีที่รองสารวัตรหรือชั้นประทวนครบรอบจำนวนปีที่ตัวเองต้องปฏิบัติในพื้นที่ทุรกันการหรือลำบากนั้น เมื่อครบเวลาแล้วจะสามารถย้ายกลับภูมิลำเนาที่ตัวเองร้องขอนั้นจะไม่สามารถดำเนินการได้เลย ดังนั้นจึงควรมีระยะเวลาในระยะหนึ่งสำหรับการแต่งตั้งวาระเริ่มแรกเพื่อให้ตำรวจเหล่านั้นได้มีโอกาสเลือกเส้นทางและพื้นที่รับราชการได้ตามความสมัครใจก่อน อย่างไรก็ตามการที่กฎหมายจะมีผลระหว่างการดำเนินการคัดเลือกหรือแต่งตั้งจะกระทบสิทธิข้าราชการตำรวจ ขณะนี้กระบวนการวาระการแต่งตั้งประจำปีนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วตั้งแต่เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่ขั้นตอนการตรวจสอบประวัติการแต่งตั้ง การตรวจสอบวินัย ระยะเวลาการดำรงตำแหน่งต่างๆ เมื่อเดือนมิ.ย.มีการประกาศอาวุโสเพื่อจะเลื่อนตำแหน่งในทุกระดับไว้ให้ข้าราชการทำตรวจทุกนายได้รับทราบ และสามารถตรวจสอบโต้แย้งสิทธิ์ ทางกรรมการได้ตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว และเมื่อวันที่ 4 ก.ค. ที่ผ่านมาได้มีการประกาศอาวุโสยืนยันความถูกต้องข้อมูลแล้ว นี่คือตัวอย่างกระบวนการที่ต้องดำเนินการ ดังนั้นการดำเนินการใดๆตามกฎหมายเดิมก็ควรจะต้องดำเนินการต่อเนื่องจนครบกระบวนการกระบวนการแต่งตั้ง ไม่มีเจตนาใดอื่นแฝง เป็นการดำเนินการให้ครบถ้วนตามกระบวนการเท่านั้น ส่วนการบริหารงานบุคคลเรื่องอื่นในพ.ร.บ.นี้ระบุไว้ว่ากรณีต่างๆที่ดำเนินการในปีนี้ไปแล้วให้ดำเนินการต่อเนื่อง และมีบทเฉพาะกาลรองรับ แม้แต่เรื่องวินัยหรืออุทธรณ์ก็ให้ดำเนินการตามกฎเกณฑ์เดิม นี่คือสภาพปัญหาการปฏิบัติ และจะเป็นประโยชน์กับข้าราชการตำรวจแท้จริง

ต่อมาที่ประชุมรัฐสภาเริ่มเกิดการตีรวน โต้คารมกันระหว่างกมธ.ที่เป็นส.ว.กับส.ส.ฝ่ายค้านพรรคก้าวไกล เมื่อนายธีรัจชัย พันธุมาศ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประท้วง สิ่งที่รัฐสภากำลังดำเนินการนั้น ถือว่าฝ่าฝืนข้อบังคับ อาทิ ข้อบังคับ ที่47และ96 ถ้าดำเนินการต่อ อาจทำให้การออกกฎหมายมีปัญหา คลาดเคลื่อนต่อหลักขัดหลักนิติธรรม ไม่ใช่อยู่ๆ จะเสนอเข้ามา แล้วมาแก้กันซึ่งๆหน้า ในร่างรายงานนั้นมีผู้สงวนความเห็นแค่ 3 คน แต่ไม่เกี่ยวกับกมธ.ฯ อย่างนายสมชาย กับพล.ต.อ.ปิยะได้ทำไป ทำให้นายสมชาย ประท้วงประธานในที่ประชุมว่า สรุปแล้วประธานอนุญาตให้ประท้วงหรืออภิปราย นายธีรัจชัย สวนว่า ประท้วง และต้องอธิบาย ท่านอย่ากลัวเรื่องนี้ เรื่องความจริง ทั้ง2ท่าน ไม่ใช่ผู้สงวนไว้ จะมาขอแก้ อ้างมติกมธ.ฯ แต่ไม่ได้ขอร่างถอนคืนไป มาเสนอหน้างานแบบนี้กระบวนการจะมีปัญหา ถ้ารัฐสภาจะตีความตามอำเภอใจไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่มีข้อกำหนดเลยจะ ทำให้ไร้หลัก เราจะให้สภาฯเราเป็นอย่างนี้หรือ ยังไม่ต้องพูดถึงในเรื่องของเบื้องหลังในมาตรา 196/1 ที่ข่าวออกมาชัดเจนว่า เจตจำนงที่จะช่วยให้คนบางคนได้มีอำนาจต่อ มิได้สุจริต แต่อ้างตำรวจชั้นผู้น้อย เมาตรา169/1 ไม่จำเป็นต้องมี สามารถตัดออกและให้กฎหมายฉบับนี้ บังคับใช้ได้เลย จะแต่งตั้งอะไร ไม่ขัดต่อหลักการพิจารณากฎหมายของรัฐสภา แห่งนี้ด้วย การที่ปล่อยให้เสนอโดยกระบวนการผิดขั้นตอน ข้อบังคับ และเจตนาซึ่งดูแล้วความสุจริตนี่มีที่เคลือบแคลงสงสัย ตนคิดว่าน่าจะไม่ถูกต้อง

 

ทั้งนี้นายสมชาย ลุกขึ้นชี้เเจงว่า ตนเสนอตามข้อบังคับที่เกี่ยวข้อง คือข้อ75 ท่านไปมโนอย่างไรไม่ทราบ นายธีรัจชัย ประท้วงขอให้ถอนคำว่ามโน เพราะไม่สุภาพ แต่นายสมชาย ตีมึน ไม่สนใจ ไม่ยอมถอน และพยายามอภิปรายหลักการข้อบังคับข้อ 75 ต่อไป ขณะที่นายธีรัจชัย พูดแทรกตลอดเวลาว่า ท่านสมชายขอให้ถอนก่อน ด้านนายชวนขอให้ถอน นายสมชาย จึงระบุว่า ถอนได้ แต่ว่าต้องถอนเมื่อสักครู่กล่าวหาว่าไปเอื้อประโยชน์ให้กับบบุคคลอื่น บุคคลใด นายธีรัจชัย โต้ว่า “เอ้ย ท่านมาชี้หน้า พฤติการณ์แบบนี้มันไม่สุภาพเลย เป็นผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว” นายสมชาย จึงกล่าวสวนว่า “ไม่เป็นไร ผมไม่กลัวอะไรท่านหรอก อย่ามาขอข้อมูลเลย แอบขอข้อมูลอยู่เรื่อย” นายธีรัจชัย จึงกล่าวโต้อีกว่า “ไม่ต้องหรอก ท่านต้องสุภาพด้วยเป็นผู้ใหญ่แล้ว” นายสมชายบอกว่า “ก็เป็นผู้ใหญ่ครับ ไม่รบกับเด็กหรอกครับ รักษากิริยาด้วย”

นายชวน ได้วินิจฉัยว่า วันนั้นก็มีปัญหาที่มีการเสนอ ข้อความไม่เกี่ยวข้องกับการบัญญัติที่ระบุใน 169/1 ซึ่งประธานก็เห็นด้วยกับผู้ประท้วง เพราะไม่สามารถเขียนข้อความใหม่เข้าไปเพิ่มเติมได้ แต่กระบวนการได้อนุญาตให้ กมธ.กลับไปทบทวน และได้ข้อยุติตามที่กล่าวถึง กระบวนการที่นายธีรัจชัยพูดนั้นไม่ผิด แต่ที่ประชุมสามารถอนุญาตให้กลับไปทบทวนได้ ส่วนจะเห็นด้วยหรือไม่ต้องขอมติ เพราะการพิจารณากฎหมายต้องช่วยกันดูอย่างให้ผิดพลาด และไม่ได้ผิดข้อบังคับสามารถทำได้ เป็นแนวปฏิบัติที่ทำอยู่ ขณะนี้ถือว่าถูกต้องแล้ว

จากนั้นที่ประชุมได้มีสมาชิกรัฐสภาอภิปราย อาทิ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายว่า ความเป็นจริง มาตรา 169/1 เราควรตัดทิ้งด้วยซ้ำไป สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่มีปัญหามาโดยตลอด และนำไปสู่การมี “ตั๋วช้าง” และ “ตั๋วตำรวจ”ต่างๆมากมาย ตนได้อภิปรายไปแล้วว่ามีตำรวจ 2 พันกว่าคน ที่ได้รับตั๋วและบางส่วนได้รับ”ตั๋วช้าง” สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบกับคนไม่กี่คนที่ถูกข้ามหัว แต่ทำให้ความเชื่อต่อระบบคุณธรรมของวงการตำรวจพังทลายลง และวิธีการแบบนี้ไม่ได้กระทบกับตำรวจที่อยู่ในตำแหน่ง แต่กระทบกับครอบครัวของเขา วันนี้เรากำลังจะอนุมัติให้เกิด “ตั๋วช้าง” อีกรอบ กมธ.ที่มาจากสตช.รู้ดีว่ากำลังช่วยใคร สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อไปนี้ไม่ใช่แค่การวางตัวคนที่จะไปเป็นรองผบ.ตร.เท่านั้น แต่ตนได้ยินมาว่าคนลำดับท้ายๆ กำลังจะได้รับสิทธิในการข้ามหัวคนอื่น ขึ้นมาเป็นรองผบ.ตร. แล้วปีถัดไปก็จะเป็น ผบ.ตร. และเหตุผลที่กมธ.ฯต้องขอ180 วันในการชะลอกฎหมายที่กำลังจะผ่านสภาฯออกไปก็เพื่อที่จะได้วางไข่ วางทายาทอสูร ตั้งแต่รองผบ.ตร.ไปจนถึงตำรวจระดับชั้นที่น้อยที่สุด พูดด้วยความจริง ท่านก็แค่ใช้โอกาสนี้ช่วยตำรวจบางคนเท่านั้น นี่คือสิ่งที่สภาฯกำลังยอมให้เกิดระบบตั๋วเกิดขึ้นในวงการตำรวจ เป็นระบบที่ใช้ไม่ได้ ดังนั้นเราต้องหยุดยั้งระบบแบบนี้ จะปล่อยให้ตั๋วช้าง ตั๋วม้า ตั๋วแมว ตั๋วนก ตั๋วต่อ ตั๋วโต้ง ตั๋วอะไรก็แล้วแต่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปไม่ได้

ต่อมาเวลา 12.53 น. ภายหลังจากที่สมาชิกรัฐสภาได้อภิปรายมาตราดังกล่าวอย่างกว้างขวางนานเกือบ 3 ชั่วโมง ที่ประชุมได้ลงมติมาตรา 169/1 พบว่าเสียงข้างมาก 344 คนเห็นด้วยกับการแก้ไขต่อคะแนนเสียงไม่เห็นด้วย 181 คน งดออกเสียง 50 คน และไม่ลงคะแนนเสียง 1 คน

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น