วันนี้ ( 6 ก.ค.) นายอานนท์ วังวสุ นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวถึงกรณีที่ทางสมาคมได้รับแจ้งจากบริษัทสมาชิกของสมาคมหลายบริษัท ว่า พบข้อมูล ผู้ที่ทำประกันภัยโควิด 19 จำนวน 4-5 พันคน ใช้เอกสารปลอม ในการยื่นขอรับเงินค่าสินไหมทดแทน กับบริษัทประกันภัยต่างๆทุกบริษัท รวมเป็นเงินกว่า 500 ล้านบาท โดยที่ผ่านมาบริษัทประกันวินาศภัยที่รับประกันภัยโควิด 19 แบบเจอ จ่าย จบ ได้เร่งดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้ผู้ทำประกันภัยที่ติดเชื้อโควิด-19 ให้รวดเร็วที่สุดเพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ทำประกันภัย ทำให้การตรวจสอบเอกสารต่างๆ ที่ผู้ทำประกันภัยโควิด 19 ส่งมาให้บริษัทประกันภัยเพื่อแสดงหลักฐานในการขอรับค่าสินไหมทดแทนอาจไม่ละเอียดถี่ถ้วนเท่าที่ควรเนื่องจากเอกสารมีเป็นจำนวนมาก
ข่าวที่น่าสนใจ
แต่หลังจากสถานการณ์ คลี่คลายลง บริษัทประกันภัยต่างๆ จึงได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูล และเอกสารต่างๆ ทั้งหมดอย่างถี่ถ้วนอีกครั้ง โดยได้ประสานงานกับโรงพยาบาลหรือสถานที่รับตรวจการติดเชื้อโควิด 19 ที่ได้รับการรับรองจากกระทรวงสาธารณสุข และพบว่า มีผู้ทำประกันภัยโควิด 19 แบบเจอจ่ายจบ ที่ไม่ได้ติดเชื้อโควิด 19 ได้ใช้เอกสารปลอมเพื่อยื่นขอรับเงินค่าสินไหมทดแทนจากบริษัทประกันภัย และได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนไปแล้ว
โดยนำหมายเลขประจำตัวผู้ป่วยของโรงพยาบาล (Hospital Number) ของผู้ที่ติดเชื้อโควิด 19 รายอื่นมาแอบอ้างเป็นหมายเลขประจำตัวผู้ป่วยของตนเอง รวมทั้งมีการทำเอกสารใบรับรองผลตรวจโควิด 19 ปลอมด้วยจำนวนมาก
นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวฝากไปยังผู้ทำประกันภัยโควิด 19 จำนวน 4-5 พันคน ที่ใช้เอกสารปลอมในการยื่นขอรับเงินค่าสินไหมทดแทนกับบริษัทประกันภัยต่างๆทุกบริษัทไปแล้วให้รีบติดต่อกลับบริษัทประกันภัยโดยด่วน เพื่อเจรจาประนีประนอมกันในมูลหนี้ดังกล่าว ไม่เช่นนั้นทางบริษัทประกันภัยจำเป็นจะต้องฟ้องร้องดำเนินคดีข้อหาฉ้อฉลรับเงินประกันภัยซึ่งมีโทษจำคุก 3 ปี และปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม กับผู้ที่สวมสิทธิผู้ป่วยโควิด 19 มารับเงิน ซึ่งเชื่อว่ามีการกระทำกันเป็นกระบวนการ
นอกจากนี้ นายกสมาคมประกันวินาศภัยยังเชื่อว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้บริษัทประกันภัยบางแห่งต้องล้มละลายลงก็สืบเนื่องมาจากการถูกผู้เอาประกันภัยปลอมเอกสารเพื่อเบิกค่าเบี้ยโควิดด้วย.
สำหรับการกระทำในลักษณะดังกล่าวจัดว่าเป็นการฉ้อฉลประกันภัย และผู้ที่มีพฤติกรรมฉ้อฉลประกันภัยจะต้องรับโทษตามกฎหมาย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
-