"Long Covid" ภาวะ long covid อาการ long covid มี อะไร บ้าง เผยวิธีฟื้นฟูร่างกายให้กลับมาเหมือนเดิม ยืนยัน อาการนี้หายได้ แบ่งออกเป็น 5 ระยะ
ข่าวที่น่าสนใจ
ในประเทศไทยเริ่มมีการแพร่ระบาดตั้งแต่ปี 2020 จนถึงปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อ 3.6 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิต 25,200 คน หรือคิดเป็นประมาณ 0.7% ถึงแม้ว่าอัตราการเสียชีวิตจะไม่สูงมาก แต่ผลกระทบตามมาภายหลังการติดเชื้อซึ่งก็ คือ ภาวะลองโควิด ( “Long Covid” ) โดยพบผู้ที่มีภาวะลองโควิดมากถึง 2 ใน 3 ของผู้ติดเชื้อที่มีอาการรุนแรง และ 1 ใน 3 ของผู้ติดเชื้อที่มีอาการน้อยถึงปานกลาง
โดยสามารถแบ่งเป็น 2 ระยะ คือ
- ระยะ on going symptomatic COVID : ภายหลังการติดเชื้อ 4-12 สัปดาห์
- post-COVID-19 syndrome : ระยะมากกว่าหรือเท่ากับ 12 สัปดาห์
อาการลองโควิดที่พบได้บ่อย ได้แก่
- อาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
- หายใจหอบเหนื่อย
- ไอเรื้อรัง
- ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ
- นอนไม่หลับ
- การรับรู้กลิ่นรสผิดเพี้ยน
- สมาธิสั้น ความสามารถในการคิดและการจดจำลดลง
- ซึ่งผู้ติดเชื้อมากกว่า 80% มีอาการมากกว่า 1 อาการ โดยผู้หญิง ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีอาการรุนแรง มีโอกาสเกิดลองโควิดได้มากกว่า
- และอาการลองโควิดสามารถยาวนานได้ถึง 6 เดือน ถึง 1 ปี
- แต่หากได้รับการฟื้นฟูอย่างเหมาะสม อาการลองโควิดจะดีขึ้นในช่วงระยะเวลา 2-3 เดือน ภายหลังการฟื้นฟูร่างกาย
แม้ปัจจุบันยังไม่มีผลการศึกษาเกี่ยวกับการรักษาภาวะลองโควิดด้วยการใช้ยา อาหารเสริม หรือการออกกำลังที่แน่ชัด แต่แนวทางปฏิบัติแนะนำให้ใช้การรักษาแบบองค์รวม เน้นการฟื้นฟูทั้งสภาพร่างกายและจิตใจควบคู่กัน การออกกำลังกายจะช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพของร่างกายในระบบต่าง ๆ ทั้งความแข็งแรงทนทานของระบบการทำงานของหัวใจและปอด ระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของสมองและความจำ
อีกทั้งยังช่วยฟื้นฟูด้านสภาพจิตใจได้ด้วย โดยการออกกำลังจะช่วยความเครียด ความกังวล และภาวะซึมเศร้า อย่างไรก็ตาม การเริ่มกลับไปออกกำลังหรือทำกิจกรรมทางกายที่ต้องออกแรงเยอะ สามารถทำได้เมื่ออาการจากการติดเชื้อโควิด หายไปอย่างน้อย 7 วัน หากผู้ที่มีอาการรุนแรงในช่วงติดเชื้อโควิด และยังมีอาการหายใจเหนื่อยหอบ มีอาการใจสั่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ แนะนำให้พบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุก่อนเริ่มออกกำลังกาย
การฟื้นฟูร่างกายจาก “Long Covid” ด้วยการออกกำลัง สามารถแบ่งออกเป็น 5 ระยะ ในแต่ระยะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ ดังนี้
ระยะที่ 1 (วันที่ 0-7)
- เป็นการเตรียมความพร้อมของร่างกาย แนะนำการออกกำลังด้วยการเดิน การยืดเหยียดส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
- และฝึกการหายใจเข้า-ออกให้สุดแบบช้า ๆ
- โดยระดับความเหนื่อยของการออกกำลังอยู่ในระดับไม่เหนื่อยถึงเหนื่อยเล็กน้อย
ระยะที่ 2 (วันที่ 8-14)
- เป็นการออกกำลังในระดับเบา ได้แก่ การเดิน การเล่นโยคะเบา ๆ การทำงานบ้าน
- โดยค่อย ๆ เพิ่มระยะเวลาในการออกกำลังวันละ 10-15 นาที
- และเมื่อสามารถเดินได้ 30 นาที โดยรู้สึกเหนื่อยเพียงเล็กน้อย สามารถเพิ่มระดับความหนักของการออกกำลังไปสู่ระยะที่ 3 ได้
ระยะที่ 3 (วันที่ 15-21)
- เป็นการออกกำลังในระดับปานกลาง โดยใช้การออกกำลังแบบแอโรบิก ได้แก่ การออกกำลังที่มีการเคลื่อนไหวร่างกายอย่างต่อเนื่อง เช่น การเดินเร็ว การปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ วิ่งเหยาะ ๆ เป็นต้น
- และการออกกำลังแบบมีแรงต้าน เช่น การยกดัมเบลล์หรือขวดน้ำ การออกกำลังโดยใช้ร่างกายของตัวเอง เช่น การลุก – นั่ง เก้าอี้ หรือการทำท่าสควอท (squat) ทำท่าแพลงก์ (plank) การดันกำแพงหรือวิดพื้น (push up)
- โดยสามารถแบ่งการออกกำลังเป็นรอบ รอบละ 5 นาที พัก 5 นาที สามารถเพิ่มรอบการออกกำลังได้ทุกวัน วันละ 1 รอบ
- เมื่อสามารถออกกำลังได้รวม 30 นาที (ไม่รวมเวลาพัก) ก็สามารถเพิ่มระดับความหนักไปสู่ระยะถัดไป
ระยะที่ 4 (วันที่ 22-28)
- เป็นการออกกำลังในระดับปานกลางเหมือนในระยะที่ 3 โดยเพิ่มความซับซ้อนในการเคลื่อนไหว เช่น การวิ่งเปลี่ยนทิศทาง การวิ่งไปทางด้านข้าง หรือการกระโดดโดยสลับขา (shuffles) รวมถึงการออกกำลังแบบมีแรงต้านหลายๆท่าต่อเนื่องกัน
- โดยสามารถออกกำลัง 2 วัน พัก 1 วัน และเมื่อไม่มีอาการอ่อนเพลียหลังจากออกกำลังสามารถเพิ่มระดับความหนักของการออกกำลังในระยะถัดไป
ระยะที่ 5 (ตั้งแต่วันที่ 29 เป็นต้นไป)
- ในระยะนี้สามารถกลับไปออกกำลังได้ตามปกติ และสามารถเพิ่มระดับความหนักของการออกกำลังได้เท่าที่สามารถทำได้
คำแนะนำและข้อควรระวังในการออกกำลัง
- ก่อนและหลังออกกำลังต้องวอร์มอัพ และคูลดาวน์ทุกครั้ง
- ไม่ควรเพิ่มระดับความหนักของการออกกำลังเร็วจนเกินไป โดยในระยะที่ 1-2 เป็นการออกกำลังในระดับเบา และระยะที่ 3-4 เป็นการออกกำลังในระดับปานกลาง
- หากรู้สึกอ่อนเพลียในวันรุ่งขึ้นแนะนำให้พักจนหายล้า และเมื่อเริ่มออกกำลังอีกครั้งลดระดับความหนักของการออกกำลังลง
- จะเพิ่มระดับความหนักของการออกกำลังก็ต่อเมื่อสามารถออกกำลังได้ตามเกณฑ์ที่แนะนำไว้ ไม่หักโหมจนเกินไป
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น หายใจหอบเหนื่อยกว่าปกติ ใจสั่น แน่นหน้าอก อ่อนเพลีย แนะนำให้รีบพบแพทย์
ข้อมูล : แพทยสภา
ข่าวที่เกี่ยวข้อง