ข่าวที่น่าสนใจ
“ชินโซอาเบะ” นายชินโซ อาเบะ มีฉายาว่า ‘เจ้าชาย’ เกิดในตระกูลนักการเมือง โดยเป็นลูกชายของนายชินทาโร อาเบะ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และเป็นหลานชายของนายโนบุสึเกะ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรี โดยจบการศึกษาด้านรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเซเกะ และศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเซาเทิร์นแคลิฟอร์เนียสหรัฐอเมริกา หลังเรียนจบ ในปี 2522 ชินโซ อาเบะได้เข้าทำงานที่บริษัท โกเบ สตีล แต่ทำอยู่ 3 ปี จนถึงปี 2525 เจ้าตัวก็ได้ลาออก เพื่อเข้าสู่เส้นทางการเมืองตามรอยบิดา โดยสมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคเสรีประชาธิปไตย หรือ แอลดีพี ก่อนไต่เต้าการทำงานหลายตำแหน่ง ซึ่งรวมถึงเจ้าหน้าที่ฝ่ายเสมียนในกระทรวงการต่างประเทศ และเลขานุการส่วนตัวของหัวหน้าพรรคแอลดีพีในเวลานั้น
จนกระทั่ง ปี 2536 อาเบะได้รับความสนับสนุนจากพรรคแอลดีพี ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งชิงตำแหน่ง ส.ส. เป็นครั้งแรก โดยลงสมัครในจังหวัดยามางุชิ และชนะการเลือกตั้งได้สำเร็จ จากนั้น อาเบะก้าวสู่การดำรงตำแหน่งรองเลขาฯครม.ญี่ปุ่น ระหว่างปี 2543-2546 ในสมัยนายกรัฐมนตรีโยชิโร โมริ และนายกรัฐมนตรีจุนอิจิโร โคอิซุมิ ต่อมาอาเบะได้รับความไว้วางใจจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคแอลดีพี ให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการ แต่แล้วในเดือน เมษายน 2549 โคอิซุมิลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคแอลดีพี จึงต้องมีการหยั่งเสียงภายในครั้งใหม่ ซึ่งอาเบะชนะและได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคเป็นสมัยแรก จากนั้นในเดือนกรกฎาคมปีเดียวกัน อาเบะเข้าสาบานตนรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ขณะมีอายุ 52 ปี ถือเป็นผู้นำรัฐบาลที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
อย่างไรก็ตามวันที่ 12 กันยายน 2550 อาเบะได้ประกาศลาออกอย่างกะทันหัน ซึ่งคาดว่ามาจากหลายสาเหตุ ทั้งเรื่องที่รัฐบาลทำเอกสารเกี่ยวกับเบี้ยบำนาญสูญหาย ส่งผลกระทบต่อการยื่นเรื่องของผู้รับบำนาญราว 50 ล้านราย รวมถึงการส่งทหารญี่ปุ่นไปร่วมประจำการในอัฟกานิสถาน แต่ความจริงก็เปิดเผยว่าสาเหตุที่แท้จริงมาจากเรื่องสุขภาพย่ำแย่ เพราะอาเบะป่วยโรคลำไส้อักเสบ ทำให้ต้องพักรักษาตัว
หลังเว้นวรรคทางการเมืองไปรักษาตัว อาเบะกลับมาอีกครั้งด้วยการชนะการเลือกตั้งที่จังหวัดยามางุชิเช่นเดิม เมื่อปี 2552 และได้รับการเลือกตั้งให้กลับมาดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคแอลดีพีเมื่อเดือนกันยายน 2555 และควบตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้าน ต่อมาในเดือนธันวาคม 2555 ได้มีการจัดเลือกตั้ง ผลปรากฏว่า พรรคแอลดีพีของอาเบะและพันธมิตรคว้าชัยชนะ จากนั้นในการเลือกตั้งครั้งต่อมา อาเบะนำพรรคแอลดีพีคว้าชัยทุกครั้ง โดยอาเบะครองตำแหน่งผู้นำญี่ปุ่นถึงเดือนสิงหาคม 2563 ก่อนจะลาออกอีกครั้งจากปัญหาสุขภาพ อย่างไรก็ดีอาเบะได้สร้างประวัติศาสตร์ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์
ในช่วงที่อาเบะบริหารประเทศ อาเบะได้นำพาประเทศฝ่าวิกฤติหลังเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิถล่มในปี 2554 รวมถึงวิกฤตการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟูคุชิมา พร้อม ๆ กับแผนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศที่เรียกว่า ‘อาเบะโนมิกส์’ ซึ่งประกอบด้วยการดำเนินมาตรการผ่อนปรนทางการเงิน นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ
ในปี 2558 อาเบะได้ผลักดันสิทธิในการร่วมป้องกันตัวเอง ซึ่งทำให้ญี่ปุ่นสามารถส่งทหารไปต่างประเทศ เพื่อป้องกันตัวเองและพันธมิตรจากการโจมตีได้ ถือเป็นการปลดล็อกให้ญี่ปุ่นสามารถดำเนินการทางการทหารได้มากกว่าการมีกองกำลังป้องกันตนเอง ตามรัฐธรรมนูญที่สหรัฐอเมริกาเขียนไว้หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างไรก็ตามเป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้นของอาเบะคือ การปรับปรุงรัฐธรรมนูญให้ญี่ปุ่นมีกองทัพได้ แต่ยังคงไม่สำเร็จ และเรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นที่สร้างความแตกแยกในญี่ปุ่นอย่างต่อเนื่อง
อาเบะมีบทบาทในการสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จนสามารถนำญี่ปุ่นหลีกเลี่ยงสงครามการค้ากับสหรัฐ แต่กับเกาหลีเหนือ อาเบะมีนโยบายที่แข็งกร้าว โดยประกาศจัดการกับเกาหลีเหนืออย่างจริงจัง หลังถูกยั่วยุจากการที่เกาหลีเหนือทดสอบยิงขีปนาวุธข้ามเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่นถึงสองครั้ง อาเบะยังได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้มีส่วนสำคัญทำให้ญี่ปุ่นคว้าสิทธิการเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ที่กรุงโตเกียว ในปี 2020 แม้ต่อมาการแข่งขันจะถูกเลื่อนมาแข่งในปี 2021 เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
