วานนี้พรรคเพื่อไทยแถลงเปิดตัว 21 ว่าที่ผู้สมัครส.ส.กทม.ของพรรคจาก 33 เขตเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต งานนี้บรรดาตัวเก็งเต็งหามหน้าเก่ามากันครบนำโดย วิชาญ มีนชัยนันท์ , ขัตติยา สวัสดิผล , สุรชาติ เทียนทอง , จิรายุ ห่วงทรัพย์, ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ , วัน อยู่บำรุง ฯลฯ และก็เป็นไปตามคาดไม่มีชื่อ “เก่ง” การุณ โหสกุล ส.ส.ดอนเมือง ของพรรคเพื่อไทยปรากฎเป็นว่าที่ผู้สมัครของพรรคแต่อย่างใด เช่นเดียวกับ “ ผู้การป็อป” น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ส.ส.สายไหม ที่ทุกคนรู้ดีว่าเป็นลูกรักของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย ที่ทั้งคู่ถูกคาดหมายว่ามีโอกาสสูงยิ่งที่จะย้ายค่ายตามแม่หน่อยไปอยู่พรรคใหม่ที่กำลังก่อร่างสร้างตัว และกำลังได้กระแสดีวันดีคืนขึ้นมาตามลำดับ ล่าสุดกลายเป็นดราม่าซัดกันเละระหว่างเก่งกับพรรคเพื่อไทย ฝ่ายเก่งอัดว่าถูกแกนนำพรรคนักรบห้องแอร์บางคนกีดกันไม่ให้ทำงานกับพรรค ทั้งๆที่ตัวเองภักดีกับพรรคมาตลอด ขณะที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทย ทางประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรค ก็ออกมาสวนทันควัน ชี้เหตุตัดหางปล่อยวัดหลักสี่เพราะ 1.มีพฤติกรรมตีตัวออกห่างชัดเจน ครึ่งปีที่ผ่านมาไม่ได้เข้าร่วมประชุมหรือร่วมกิจกรรมใดๆของพรรคเลย และ 2.มีพฤติกรรมเป็นที่ประจักษ์ว่า ไปร่วมกิจกรรมกับพรรคการเมืองพรรคอื่น โดยมีหลักฐานพิสูจน์ทราบชัดเจน ที่สุดก็เลยต้องแยกทางต่างคนต่างไป
อย่างไรก็ตามไฮไลต์ที่สำคัญของการแถลงข่าววานนี้ อยู่ที่กรณี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ออกมาดีดลูกคิดรางแก้วคำนวนความเป็นไปได้จำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย หากใช้วิธีคิดคำนวนสูตรหาร 500 โดยมั่นใจว่าพรรคจะได้มากกว่าเดิมไม่ซ้ำรอยการเลือกตั้งเมื่อ 24 มี.ค.2562 ที่ได้ส.ส.เขต 136 คน แต่ไม่ได้ส.ส.บัญชีรายชื่อแม้แต่คนเดียว เพราะติดเพดานส.ส.พึงมี แต่มารอบนี้แม้แนวคิดคำนวณจะใช้หลักการคล้ายคลึงกับวิธีเก่าคือจัดสรรปันส่วนผสมและมีเพดานส.ส.พึงมี แต่ก็มีข้อแตกต่างที่คราวนี้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบระหว่างส.ส.ระบบเขต กับ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ไม่ได้เป็นบัตรใบเดียวแบบการเลือกตั้งเที่ยวก่อน หมอชลน่านจึงคิดว่าประวัติศาสตร์ไม่มาทางซ้ำรอย แถมโอ่ว่าพรรคมีโอกาสได้ส.ส.เกิน 200 คน แม้ถูกแก้เกมส์กลับสูตรคำนวณจากหาร 100 ไปเป็นหาร 500 “ เราเชื่อว่าจะได้มากกว่า 15 ล้านเสียง บัตรดีทุกพรรคคาดว่าจะรวมกันได้ 35 ล้าน ถ้าเป็นเช่นนี้พรรคเพื่อไทยน่าจะได้ประมาณ 214 ที่นั่ง ถ้าเขตได้ 180 คน จะได้บัญชีรายชื่อ 34 ที่นั่ง แต่ถ้าเขตได้ 200 คน จะได้บัญชีรายชื่อ 14 ที่นั่ง โดยเป้าหมาย 15 ล้านเสียง ยังต้องอยู่ที่กระบวนการสื่อสารกับประชาชนด้วย แต่พรรคหวังไปถึง 18 ล้านเสียง ” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยระบุ
ถามว่าโอกาสที่พรรคเพื่อไทยค่ายทักษิณจะสร้างประวัติศาสตร์ได้คะแนนพรรคถึง 15 ล้านเสียงที่เป็นขั้นต่ำหรือขนาด 18 ล้านเสียงแบบถล่มทลายที่เคยสร้างแคมเปญไว้ก่อนหน้านี้ว่า “แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” เพื่อเป้าหมายพาอุ๊งอิ๊งเป็นนายกฯตระกูลชิน คนที่4 ต่อจาก ทักษิณ สมชาย ยิ่งลักษณ์ จะเป็นไปได้หรือไม่ ตอบวันนี้ ตอนนี้ เดี๋ยวนี้ได้เลย แบบจิ๊กโก๊สมัยก่อนว่า “ชาติหน้าตอนบ่ายบ่าย” ฝันไปเถอะ ต้องตอบแบบนั้นจริงๆ ย้อนอดีตก่อนหน้านี้แม้พรรคฝ่ายทักษิณจะเคยชนะการเลือกตั้งแบบแลนด์สไลด์มา 2 ครั้ง 2 หน คือ ครั้งแรกในยุคทักษิณเป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทย หลังรวมคนเก่งหลากหลายวงการตั้งพรรคขึ้นเมื่อ 24 ก.ค.2541 ทำพรรคอยู่ 2 ปีเศษก็เข้าสู่สนามเลือกตั้งครั้งแรก เมื่อ 6 ม.ค.2544 เป็นการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540 เขต 400 คน บัญชีรายชื่อ 100 คน ผลปรากฎว่ามีคนมาลงคะแนนบัญชีรายชื่อจำนวน 28,629,202 คน โดยพรรคไทยรักไทยชนะการเลือกตั้งที่ 1 โดยได้คะแนนพรรคจากทั่วประเทศมา 11,634,495 คะแนน คิดเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อได้ 48 คน ส.ส.เขตอีก 200 คน รวมได้ส.ส. 248 คน ทิ้งห่างพรรคคู่แข่งซึ่งได้ที่ 2 อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ยุคนายหัวชวน หลีกภัย ที่ได้คะแนนพรรคจากทั่วประเทศมา 7,610,789 คะแนน คิดเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อได้ 31 คน ส.ส.เขตอีก 97 คน รวมได้ส.ส. 128 คน รวม 2 พรรคใหญ่ตอนนั้นได้ส.ส.ไป 376 คน ส่วนส.ส.ที่เหลืออีก 124 คน มาจาก 7 พรรคประกอบด้วย พรรคชาติไทยได้ส.ส. 41 คน (6+35) พรรคความหวังใหม่ได้ส.ส.36 คน (8+28) พรรคชาติพัฒนาได้ส.ส.29 คน (7+22) พรรคเสรีธรรมได้ส.ส.14 คน เป็นส.ส.เขตทั้งหมด พรรคราษฎรได้ส.ส. 2 คน เป็นส.ส.เขตทั้งหมด พรรคถิ่นไทยได้ส.ส.1 คน เป็นส.ส.เขต พรรคกิจสังคมได้ส.ส. 1 คน เป็นส.ส.เขต
จากนั้น 6 ก.พ.2548 พรรคไทยรักไทยของทักษิณก็ชนะการเลือกตั้งแบบถล่มทลายจนเป็นที่มาของคำว่าแลนด์สไลด์ โดยใช้การเลือกตั้งแบบเดิมคือเขต 400 คน บัญชีรายชื่อ 100 คน ผลปรากฏว่ามีคนออกมากาบัตรพรรคแบบบัญชีรายชื่อทั่วประเทศ นับเฉพาะบัตรสมบูรณ์ แยกไม่ประสงค์ลงคะแนนกับคะแนนเสียออกไป สูงถึง 31,048,223 คะแนน โดยพรรคไทยรักไทยกวาดคะแนนพรรคไปได้ถึง 18,993,073 คะแนน ทอนเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อได้สูงถึง 67 คน ส.ส.เขตกวาดไปอีก 310 คน รวมได้ส.ส. 377 คน เกินกึ่งหนึ่งของสภากลายเป็นรัฐบาลพรรคเดียว ส่วนพรรคที่ตามมาอันดับ 2 คือพรรคประชาธิปัตย์หน้าเดิม แต่เปลี่ยนหัวหน้าเป็นบัญญัติ บรรทัดฐาน ได้คะแนนพรรคทั่วประเทศไป 7,210,742 คะแนน คิดเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อได้ 26 คน ส.ส.เขต 70 คน รวมได้ 96 คน รวม 2 พรรคใหญ่ตอนนั้นได้ไป 473 คน ที่เหลืออีก 27 คนมาจาก 2 พรรคเล็กคือ พรรคชาติไทยได้ส.ส.ไป 25 คน (7+18 ) และพรรคมหาชนได้ส.ส.ไป 2 คน จากระบบเขต
ชัดเจนว่าครั้งแรกที่พรรคไทยรักไทยของทักษิณกวาดส.ส.ไป 248 คน เพราะพรรคเพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ มีคนดีเด่นดังเข้าไปรวมตัวจำนวนมาก เข้าตำราขี้ใหม่หมาหอม แถมตอนนั้นพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในช่วงขาลง กระแสเบื่อ “ชวน สมัย 2” กำลังมาแรง หนำซ้ำแข่งกันแค่ 8 พรรคเท่านั้น โดยมีพรรคใหญ่ที่แข่งกันจริงๆ 2 พรรค คือ พรรคไทยรักไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ ที่สุดพรรคไทยรักไทยจึงชนะไปโดนปริยาย ส่วนครั้งที่ 2 ที่เป็นแลนด์สไลด์ของจริงเพราะพรรคไทยรักไทยของทักษิณกวาดส.ส.ไป 377 คน แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้แม้วสร้างประวัติศาสตร์ที่เก็บเอามาโม้ได้ชั่วลูกชั่วหลานก็เพราะใช้เงินดูดส.ส.มาเกือบทั้งวงการ แถมไม่ได้แบบแจกกล้วยรายคนแบบยุคนี้ แต่ทักษิณใช้วิธี “ซื้อยกเข่ง เซ้งยกพรรค” กวาดไปหมดแผง ไล่ตั้งแต่ พรรคความหวังใหม่ของ “พ่อใหญ่จิ๋ว” พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พรรคเสรีธรรม กลุ่มของ “อีดี้” ประจวบ ไชยสาส์น และ กลุ่มวังพญานาคของพินิจ จารุสมบัติ, พรรคชาติไทย กลุ่ม “พี่เน” เนวิน ชิดชอบ กลุ่มชลบุรีของ “บิ๊กแป๊ะ” สนธยา คุณปลื้ม กลุ่มบ้านริมน้ำของ สุชาติ ตันเจริญ กลุ่มปองพล อดิเรกสาร พรรคชาติพัฒนา กลุ่มลำตะคองของเสี่ยสุวัจน์ ลิปตพัลลภ กลุ่ม “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล กลุ่มของอดิศัย โพธารามิก ,พรรคกิจสังคม กลุ่ม สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สมศักดิ์ เทพสุทิน , พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มยงยุทธ ติยะไพรัช ,พรรคพลังธรรม กลุ่ม “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ และ พรรคเอกภาพ กลุ่ม บ้านใหญ่นครปฐม ตระกูลสะสมทรัพย์ ฯลฯ
ขณะที่การเลือกตั้งคราวที่แล้ว 24 มี.ค.2562 ใช้รูปแบบการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2560 แบบจัดสรรปันส่วนผสม ส.ส.เขต 350 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน มีเพดานส.ส.พึงมี ทุกคะแนนไม่ตกน้ำ ใช้บัตรเลือกตั้งใบเดียว ผลปรากฎว่ามีคนออกมาใช้สิทธิ์ที่เป็นคะแนนสมบูรณ์ 35,561,556 คะแนน พรรคที่ได้ส.ส.มากสุดคือ 1. พรรคเพื่อไทย ได้ส.ส.เขตไป 136 คน แต่ไม่ได้บัญชีรายชื่อเลย แม้จะได้คะแนนทั้งประเทศ 7,881,006 คะแนน ถัดไปคือ 2.พรรคพลังประชารัฐได้คะแนน 8,441,274 คะแนน คิดเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ 19 คน ส.ส.ระบบเขต 97 คน รวมได้ไป 116 คน 3.พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนไป 6,330,617 คะแนน คิดเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ 50 คน ส.ส.ระบบเขต 31 คน รวมได้ส.ส.ไป 81 คน 4.พรรคประชาธิปัตย์ได้คะแนนไป 3,959,358 คะแนน คิดเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ 20 คน ส.ส.ระบบเขต 33 คน รวมได้ส.ส.ไป 53 คน 5.พรรคภูมิใจไทยได้คะแนนไป 3,734,459 คะแนน คิดเป็นส.ส.บัญชีรายชื่อ 12 คน ส.ส.ระบบเขต 39 คน รวมได้ส.ส.ไป 51 คน รวมพรรคขนาดใหญ่และพรรคขนาดกลางที่ได้คะแนนพรรคเกิน 1 ล้านคะแนนทั้งสิ้น 6 พรรค กวาดส.ส.รวมกันถึง 437 คน ส่วนส.ส.ที่เหลืออีก 63 คน กระจายไปอยู่ในพรรคเล็กรวม 21 พรรค
คิดแบบเร็วๆ ไปอย่างไวๆ ถามว่าการเลือกตั้งคราวหน้าใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใช้สูตรหาร 500 คำนวณส.ส.บัญชีรายชื่อ ส.ส.เขตมี 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อมี 100 คน พรรคที่เคยต่อสู้ในการเลือกตั้งคราวที่แล้วยังอยู่ทั้งหมด 6 พรรคขนาดใหญ่และพรรคขนาดกลาง บวกกับ 21 พรรคเล็กๆ หนำซ้ำเที่ยวหน้ายังมีพรรคเกิดใหม่ผุดมายังกะดอกเห็ด 1. พรรคไทยสร้างไทยของเจ๊หน่อย 2.พรรคกล้าของกรณ์ 3.พรรคสร้างอนาคตไทยของสมคิดรันพรรคโดย 2 กุมาร “อุตตม-สนธิรัตน์” 4. พรรคเศรษฐกิจไทยของร.อ.ธรรมนัส 5.พรรคไทยภักดีของหมอวรงค์ ฯลฯ ยังไม่รวมพรรคเล็กพรรคน้อยที่จะเกิดขึ้นมาใหม่อีกมาก หลังเห็นช่องทางใช้สูตรหาร 500 ที่ทำให้พรรคปลาซิวปลาสร้อยพอไปต่อได้ วันนี้อย่าว่า 18 ล้านเสียงจะยากเลย 15 ล้านเสียงก็เลือดตาแทบกระเด็น เพราะพรรคการเมืองมีมากเหลือเกิน แถมแต่ละพรรคก็มีมือตีนพอๆกัน เงินกระสุนก็ตุนไว้ไม่น้อยไปกว่ากัน หันกลับมาที่พรรคเพื่อไทยจาก 136 ส.ส.รอบที่แล้ว ถามว่าตอนนี้เหลืออยู่จริงเท่าไหร่ งูเห่างูฝากมีเพียบ พวกเตรียมชิ่งเตรียมย้ายยังมีอีกบาน แค่รอจังหวะเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น ดูดเขามามากคราวนี้มีหวังเจอเขาดูดกลับก็ไม่แปลก หมอชลน่านพูดตัวเลขลอยๆคราวหน้าตั้งธงได้ส.ส. 214 คน พูดเอามันส์นะมันง่าย โม้ว่าจะได้ 15-18 ล้านเสียงจากทั่วประเทศใครก็พูดได้สบาย แต่ทำจริงมันไม่ง่ายเหมือนปอกกล้วยเขาปาก ดูทรงแล้วน่าจะหนักไปทาง……ความฝันที่ไม่มีวันเป็นจริง
/////////////////////