นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่ตำรวจมีแนวคิดที่จะใช้มาตรการขอศาลออกหมายจับ ผู้ที่ถูกใบสั่งจราจรจำนวนมาก แต่ไม่ยอมชำระค่าปรับตามกฎหมาย ว่า ตาม พ.ร.บ.จราจร ฉบับที่ 13 ไม่ได้พูดเรื่องนี้ไว้ (การออกหมายจับ) ฉะนั้นการออกหมายจับเป็นไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม.66 วรรคสองกำหนด
โฆษกศาลยุติธรรม ชี้การออกหมายจับคดีใบสั่งจราจร ต้องดูพฤติการณ์แต่ละเรื่องแต่ละคดีไป โดยศาลพิจารณาตามเหตุผลความจำเป็น อยู่ตรงกลางระหว่าง 2 ฝ่าย
ข่าวที่น่าสนใจ
โดยวรรคหนึ่งบอกว่าถ้าเป็นความผิดโทษจำคุกเกิน 3 ปี เป็นเหตุให้ออกหมายจับได้ ถ้าไม่ถึง 3 ปีแต่มีพฤติการณ์หลบหนีก็เป็นอีกเหตุหนึ่งที่สามารถออกหมายจับได้ ส่วนวรรคสอง บอกว่ามีหมายเรียกแล้วไม่มาถือว่ามีพฤติการณ์หลบหนี ที่ตำรวจจะใช้น่าจะเป็นวรรคสองมีการออกหมายเรียกแล้วไม่มา ถือว่ามีพฤติการณ์หลบหนี
ทั้งนี้เรื่องการพิจารณาออกหมายจับของศาล ถ้าสังเกตวิธีการที่ศาลใช้ อย่างคดีนักการเมืองบางคนที่ตกเป็นผู้ต้องหาก็มี การออกหมายเรียกแล้วไม่มา แต่ศาลก็ไม่ได้ใช้วิธีการออกหมายจับทุกครั้ง ฉะนั้นไม่ว่าคดีใหญ่คดีเล็กก็ต้องดูพฤติการณ์แต่ละเรื่องแต่ละคดีไป ศาลก็ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ดูข้อมูลที่ตำรวจอธิบายมาว่าเคยทำผิดมาแล้วกี่ครั้ง เหมือนกรณีการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแต่ละคดี
นายสรวิศ กล่าวอีกว่า การออกหมายเรียกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง มีทั้งผู้ต้องหากับผู้ที่บังคับใช้กฎหมาย ทางผู้ต้องหาอาจมองว่าเป็นความผิดเล็กน้อยที่ส่วนใหญ่อาจมีเพียงโทษปรับไม่น่าเป็นเหตุถึงขนาดต้องมีการออกหมายจับ ที่ทำให้เกิดความเดือดร้อนและกระทบต่อสิทธิเสรีภาพ
แต่ในขณะเดียวกันทางฝั่งเจ้าหน้าที่ที่บังคับใช้กฎหมายก็มองว่าเมื่อบังคับใช้กฎหมายแล้วไม่ได้รับความเคารพ มีพฤติการณ์ที่ฝ่าฝืนกฎหมายอยู่เป็นนิจ เป็นประจำๆ กฎหมายก็ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ และอาจเป็นเหตุให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่น หากไม่มีมาตรการที่เข้มงวดจะยิ่ง
ทำให้คนที่กระทำผิดไม่ตระหนักและให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามกฎหมาย อันจะนำมาซึ่งปัญหาการเกิดอุบัติเหตุในท้องถนนที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บหรือเสียชีวิตของคนที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่อีกมากมาย การที่มีการออกพรบ.จราจรฯ ฉบับที่ 13 ก็เพื่อทำให้มีการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
-