"ฝีดาษลิง" ข่าวดี! กรมวิทย์ฯ เผย วัคซีนฝีดาษขององค์การเภสัชผลิตนาน 40 ปี ยังมีคุณภาพอยู่ สามารถใช้สกัดเชื้อได้
ข่าวที่น่าสนใจ
หลังจากประเทศไทยรายงานพบผู้ติดเชื้อโรคฝีดาษวานร หรือ “ฝีดาษลิง” (Monkeypox) รายแรกในประเทศที่ จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา ล่าสุด ทางกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พร้อมนางสุภาพร ภูมิอมร ผอ.สถาบันชีววัตถุ แถลงผลการตรวจสอบคุณภาพวัคซีนฝีดาษคน (smallpox) ที่องค์การเภสัชกรรม (อภ.) ผลิตเก็บไว้นานกว่า 40 ปี
นพ.ศุภกิจ กล่าวว่า หลังจากที่องค์การอนามัยโลกประกาศความสำเร็จในการกวาดล้างโรคฝีดาษไปจากโลกแล้วตั้งแต่ปี 2523 ทำให้การให้วัคซีน เพื่อป้องกันโรคฝีดาษในคนหยุดไป แต่เนื่องจาก พบการระบาดอีกครั้งของโรคฝีดาษวานรในต่างประเทศ ทำให้ประเทศไทยต้องเฝ้าระวังโรคนี้อย่างใกล้ชิดและเตรียมการรองรับ
ซึ่งขณะนี้มีวัคซีนฝีดาษคนที่ อภ.ผลิตเก็บไว้นานกว่า 40 ปี ตั้งแต่ปี 2522 และ ปี 2523 จำนวน 13 รุ่น รวมทั้งหมด 500,000 โดส เป็นวัคซีนรุ่นแรกที่ผลิตจากน้ำเหลืองของสัตว์ ใช้หยดลงผิวหนังและใช้เข็มสะกิดผิวให้ถลอก เพื่อให้วัคซีนซึมผ่าน และกรมวิทยาศาสตร์ฯ ได้นำมาตรวจสอบคุณภาพ ซึ่งยังคงมีลักษณะทางกายภาพที่ดี มีคุณภาพตามมาตรฐานวัคซีนไวรัสทั่วไป และยังคงมีคุณค่า หากเกิดการระบาดขึ้นในประเทศ และไม่สามารถจัดหาวัคซีนฝีดาษมาใช้ได้
อย่างไรก็ตาม การที่จะนำมาใช้ได้ในสภาวะฉุกเฉินนั้น จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาถึงประโยชน์และความเสี่ยงที่จะได้รับ รวมถึงวัคซีนทางเลือกที่มีปัจจุบันมีวัคซีนฝีดาษคน (smallpox) มี 3 รูปแบบหลัก ที่องค์การอนามัยโลกแนะนำ คือ
1. วัคซีนรุ่น 2 ผลิตในสหรัฐอเมริกา
- พบอาการข้างเคียงน้อยราย
- แต่รุนแรง เนื่องจาก เป็นเชื้อที่เพิ่มจำนวนได้ในเซลล์ของมนุษย์ จึงไม่สามารถให้กับเด็ก สตรีมีครรภ์ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้เป็นโรคผิวหนังประเภทโรคเรื้อนกวางได้
- ข้อบ่งใช้ โดยการใช้เข็มจุ่มวัคซีนแล้วเขี่ยบริเวณต้นแขนให้เกิดแผล จากนั้นจะเกิดตุ่มภายใน 3-4 วัน และมีหนองตกสะเก็ดใน 3 สัปดาห์ เกิดเป็นรอยแผลเป็น
2.รุ่น 3 ผลิตในสหรัฐอเมริกา
- เป็นเชื้ออ่อนฤทธิ์ พบอาการมีข้างเคียงเล็กน้อย
- สามารถให้กับประชาชนได้มากกว่า
- ใช้ 2 โดส ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง
- ได้รับอนุญาตในการป้องกันฝีดาษวานร (monkeypox) โดยองค์การอาหารและยา สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2019
- หากมีความจำเป็นต้องใช้กันก็อาจจะเป็นรุ่นนี้
3.รุ่น 4 ผลิตจากประเทศญี่ปุ่น
- เป็นวัคซีนเชื้อเป็น
- เกิดจากการตัดต่อยีน สามารถใช้ป้องกันโรคฝีดาษวานรได้
- ใช้ 1 โดส โดยเข็มจุ่มวัคซีนแล้วเขี่ยบริเวณต้นแขนให้เกิดแผล แต่ยังไม่มีการขออนุญาตให้ใช้ในการป้องกันฝีดาษวานร
ขณะเดียวกัน เพจ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ได้เผยแพร่ 4 วิธีป้องกันตนเองให้ห่างไกลจากโรค “ฝีดาษลิง” ซึ่งสามารถติดได้จากสัตว์สู่คน เลือด สารคัดหลั่ง ตุ่มหนองของสัตว์ รวมทั้งติดโรคจากคนสู่คน โดยสัมผัสสารคัดหลั่ง สัมผัสแผลหรือใช้ของร่วมกันกับผู้ติดเชื้อโดยตรง และสามารถแพร่เชื้อจากหญิงตั้งครรภ์สู่ทารกในครรภ์ได้
อาการฝีดาษลิงเป็นยังไง แบ่งออกเป็น 4 ระยะ ได้แก่
1.ระยะฟักตัว
- จะไม่แสดงอาการช่วง 5-44 วันหลังจากได้รับเชื้อ
2.ระยะไข้ 1-4 วัน
- มีอาการปวดศีรษะ
- เจ็บคอ
- หนาวสั่น
- อ่อนเพลีย และต่อมน้ำเหลือง
3. ระยะผื่น 1-2 สัปดาห์
- จะเริ่มจากผื่นแบน ผื่นนูน ผื่นมีน้ำใสใต้ผื่น
- โดยผื่นมักจะขึ้นที่บริเวณใบหน้า แขน และขา มากกว่าที่ลำตัว
- ลักษณะของผื่นจะเริ่มจากจุดแดง ๆ กลม ๆ
- หลังจากนั้นผื่นจะกลายเป็นตุ่มน้ำใส และกลายเป็นตุ่มหนอง
- กลายเป็นสะเก็ด เป็นช่วงระยะเวลาที่สามารถแพร่เชื้อได้สูงสุด
4. ระยะฟื้นตัว
- ใช้เวลาหลายวันจนถึงหลายสัปดาห์
วิธีการป้องกันฝี ดาษลิง
- หลีกเลี่ยงสัมผัสโดยตรงกับเลือด สารคัดหลั่ง และตุ่มหนองของสัตว์
- รับประทานเนื้อสัตว์ปรุงสุก
- หมั่นล้างมือบ่อย ๆ ด้วยแอลกอฮอล์ 70% ขึ้นไป
- ไม่ควรรับปนะทานเนื้อสัตว์ป่าหรือนำสัตว์ป่ามาเลี้ยง
- สวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อผ่านละอองฝอยขนาดใหญ่
- หากพบผู้ติดเชื้อ หรือผู้ที่สงสัยติดเชื้อ จะต้องแยกผู้เสี่ยงติดเชื้อออกจากผู้อื่น เป็นเวลา 21-28 วัน จนกว่าผื่นจะตกสะเก็ด
- ในกรณีที่เป็นผู้สัมผัสใกล้ชิดกันกับผู้เสี่ยงติดเชื้อ (อาศัยอยู่ในบ้านเดียวกัน, เป็นสามีภรรยากัน, มีความสัมพันธ์กัน) ให้สังเกตอาการของตนเอง และแยกตัวเองออกจากผู้อื่นเช่นเดียวกัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง