แกะรอยพิรุธ “กรมธนารักษ์” เสี่ยงค่าโง่เร่งเซ็นสัญญาท่อส่งน้ำ EEC

แกะรอยพิรุธ "กรมธนารักษ์" เสี่ยงค่าโง่เร่งเซ็นสัญญาท่อส่งน้ำ EEC

กลับมาเป็นประเด็นร้อนอีกครั้ง กับการประกาศนัดเซ็นสัญญาระหว่าง กรมธนารักษ์ กับ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด หลังจากนายประภาศ คงเอียด ลงนามในหนังสือ กำหนดให้มีการลงนามในสัญญาโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ในวันที่ 3 สิงหาคม 2565 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุมชั้น 8 อาคาร 72 ปี กรมธนารักษ์

โดยวันลงนามสัญญาฯ กรมธนารักษ์ กำหนดให้ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เตรียมชำระเงินตามเงื่อนไขสัญญา ก้อนแรกกว่า 740 ล้านบาท ดังนี้

1. ชำระค่าแรกเข้าเพื่อทำสัญญา เป็นเงินจำนวน 580,000,000 บาท
2. ชำระผลประโยชน์ตอบแทนรายปี (Fixed Fee) ปีที่ 1 เป็นเงิน 44,644,356 บาท มาชำระให้กรมธนารักษ์ในวันลงนามในสัญญาเช่าโครงการดังกล่าว
3. วางหลักประกันการปฏิบัติตามสัญญา เป็นเงินจำนวน 118,979,500 บาท

ถึงแม้ว่ากระบวนการทุกอย่างดูจะเร่งรัด เร่งรีบ แต่เมื่อย้อนกลับไป ผู้บริหารกรมธนารักษ์ ได้ย้ำมาตลอดว่า เตรียมทุกอย่างพร้อมไว้หมดแล้ว รอเพียงผลสอบ จากคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง การบริหารจัดการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ที่นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ได้ดำเนินการแต่งตั้ง เพื่อตรวจสอบทุกอย่างให้ชัดเจน โปร่งใส

กระทั่งหลังใช้เวลาตรวจสอบ ประมาณ 2 เดือน ที่ไม่มีการแถลงชี้แจงเป็นรูปธรรมใด ๆ นอกจากคำพูดของ นายอาคม ว่าได้ส่งกลับผลสอบไปให้นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง เป็นผู้พิจารณาดำเนินการต่อ และ นายสันติ อ้างว่า การตรวจสอบยืนยันว่าการประมูลถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่าง หลังจากนี้ เป็นหน้าที่ของกรมธนารักษ์ ที่จะดำเนินการให้ถูกต้องครบถ้วนตามที่อัยการได้มีข้อสังเกต 13 ข้อ เท่านั้น

ขณะเดียวกันต้องย้ำว่า เหตุการณ์ทั้งหมด มีความไม่ปกติ ซ่อนเร้นอยู่พอสมควร เพราะกรณีนี้ศาลปกครองยังไม่มีคำพิพากษา ชี้ชัดความผิด หรือ ถูก ของกระบวนการประมูลตั้งแต่ต้นที่ปรากฎว่า บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ เป็นเอกชนที่ได้รับคะแนนสูงสุด แต่กรมธนารักษ์ ได้ยกเลิก แล้วเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข กระทั่งบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด กลับมาเป็นผู้ชนะการประมูล

ประเด็นสำคัญก็คือ ศาลปกครอง เพิ่งสั่งให้กรมธนารักษ์ ส่งข้อมูลชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการประมูลท่อส่งน้ำ EEC ภายในวันที่ 7 ก.ค.2565 แต่กรมธนารักษ์ ไม่ได้ส่ง ศาลฯ จึงขยายเวลาให้อีก 30 วัน หรือมีกำหนดสิ้นสุดภายใน 7 ส.ค.2565 แต่แทนทีกรมธนารักษ์ จะรอให้กระบวนการต่าง ๆ สิ้นสุด กลับนัดหมาย บริษัทวงษ์สยามก่อสร้าง เดินหน้าเซ็นสัญญา โดยไม่สนใจผลคำพิพากษาของศาลปกครอง และเมื่อสอบถามเรื่องดังกล่าวกับ นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมธนารักษ์ กลับอ้างด้วยว่า ข้อมูลส่งไปหมดแล้วตั้งแต่ช่วงแรกๆ และศาลฯ ไม่ได้ข้อให้ส่งข้อมูลเพิ่มเติม แต่อย่างใด ทำให้กรณีนี้มีความขัดแย้ง ชวนสงสัย ว่ามีเงื่อนงำอื่นใดหรือไม่ และถ้าศาลปกครองมีคำพิพากษาไม่เป็นคุณต่อกรมธนารักษ์ อะไรจะเกิดขึ้นกับการเซ็นสัญญาที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 ส.ค. 2565 นี้

อีกทั้งในการการอภิปรายทั่วไป เพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 151 กรณีการประมูลท่อส่งน้ำ EEC ถือเป็นหนึ่งกรณีที่พรรคร่วมฝ่ายค้านนำมาซักฟอก นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และโยงไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในการปล่อยปะ ละเลย ให้มีการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งวันนี้ปมปัญหาทั้งหมดอยู่ในการพิจารณาของป.ป.ช.เรียบร้อยแล้ว ไม่นับรวมข้อสงสัยต่าง ๆ จากสาธารณชนทั่วไป ว่า ทำไมกรมธนารักษ์ มีขั้นตอนการประมูลไม่โปร่งใส ชอบธรรม จริงหรือไม่ และทำไมถึงต้องเร่งรีบเซ็นสัญญา ไม่รอคำพิพากษาศาลปกครอง ให้จบสิ้นกระบวนการ

เริ่มจาก นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย ระบุข้อกล่าวหาว่า นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะเป็นประธานกรรมการที่ราชพัสดุ และเห็นชอบใช้วิธีคัดเลือกบริษัทเอกชนมาดำเนินโครงการระบบท่อส่งน้ำอีอีซี หรือ Market Sounding แทนวิธีเปิดประมูลทั่วไป เพื่อหนีหลักเกณฑ์ พ.ร.บ.ร่วมทุน

เท่ากับมีพฤติการณ์คัดเลือก ผู้รับผิดชอบโครงการมูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านบาท โดยไม่โปร่งใส เพราะรับทราบตั้งแต่ต้นว่ากรมธนารักษ์ เชิญแค่ 5 บริษัทเอกชนมาคัดเลือกมารับฟังเงื่้อนไขการประมูล ประกอบด้วย 1. บมจ.อีสวอเตอร์ 2. บมจ. กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ 3. บมจ.อมตะคอร์ปอเรชั่น 4. บมจ.ดับบลิวเอชเอคอร์ปอเรชั่น และ 5. การประปาส่วนภูมิภาค

แต่ไม่เชิญบริษัทเอกชนใหญ่ ๆ ที่มีประสบการณ์เรื่องระบบส่งน้ำโดยตรงมาคัดเลือกด้วย อาทิ บจ.อควาไทย ของเครืออิตาเลี่ยนไทย หรือ บมจ. ทีทีดับบิว ของเครือ ช.การช่าง ส่อให้เห็นว่ามีเจตนาต้องการเอื้อประโยชน์ช่วยเอกชนบางราย

ทั้งที่ระเบียบของกระทรวงการคลังว่าด้วยการคัดเลือก 2534 กำหนดชัดเจนว่าจะต้องมีการเปิดประมูลทั่วไปก่อน หากทำไม่ได้จึงจะใช้วิธีคัดเลือก และหากคัดเลือกไม่ได้อีก ถึงจะใช้วิธีเฉพาะเจาะจง และตามกฎกระทรวงการคลัง เรื่องการจัดหาประโยชน์ที่ราชพัสดุ 2564 ข้อ 24 ระบุว่า การคัดเลือกเอกชนต้องใช้วิธีประมูล เว้นแต่เป็นกรณีที่คณะกรรมการที่ราชพัสดุเห็นสมควรให้ใช้วิธีคัดเลือกเอกชนโดยไม่ใช้วิธีประมูลตามข้อ 33

จากนั้น นายยุทธพงศ์ ได้เพิ่มเติมรายละเอียด ถึงความไม่โปร่งใสที่เกิดขึ้น ว่า การคัดเลือกครั้งแรก มีหลักฐานยืนยัน บริษัท อีสท์ วอเตอร์ เป็นผู้ชนะ แต่มีการยกเลิกการคัดเลือกดังกล่าว ก่อนเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกชุดใหม่ พร้อมแก้ไขเงื่อนไขทีโออาร์ใหม่ โดยการยกเลิกลักษณะต้องห้ามบริษัทที่เข้าร่วมประมูล ข้อเสนอทางเทคนิค เพื่อเอื้อประโยชน์เอกชนบางราย ที่ไม่มีประสบการณ์ระบบส่งน้ำเข้าร่วมคัดเลือกได้ เหมือนเขียนด้วยมือลบด้วยเท้า

ยกตัวอย่าง วันที่ 8 ก.ย. 2564 มีการตั้งคณะกรรมการคัดเลือกใหม่ คงเหลือเพียง นายยุทธนา หยิมการุณ เป็นประธานคนเดียว และ วันที่ 10 ก.ย. 2564 ออกประกาศเชิญชวนรอบ 2 พร้อมปรับเปลี่ยน TOR ในบางเงื่อนไข

เช่น 1.ยกเลิกลักษณะต้องห้ามของผู้ยื่นข้อเสนอ ต้องไม่เป็นผู้ที่ถูกหน่วยงานของรัฐบอกเลิกสัญญา 2. ปรับลดทุนจดทะเบียนผู้ยื่นข้อเสนอจาก 500 ล้านบาทเป็น 300 ล้านบาท 3. ปรับลดหนังสือรับรองวงเงินสินเชื่อจาก 800 ล้านบาทเป็น 300 ล้านบาท 4. เปลี่ยนข้อกำหนดทางเทคนิคของผู้ยื่นข้อเสนอ จาก ‘นิติบุคคลผู้มีอาชีพและประสบการณ์ในการประกอบธุรกิจและหรือบริหารจัดการระบบท่อส่งน้ำ’ เป็น ‘นิติบุคคลที่ดำเนินธุรกิจสาธารณูปโภคเกี่ยวกับการจัดการน้ำ’

และพบด้วยว่ามีการปรับปรุงเกณฑ์ การพิจารณาของข้อเสนอใหม่ โดยจากเดิมเป็นระบบให้คะแนน เปลี่ยนมาเป็นระบบ ‘ผ่านกับไม่ผ่าน’ แต่ให้ซองที่ 3 ซึ่งเป็นซองเสนอราคา ยังคงใช้ระบบให้คะแนนโดยมีคะแนนเต็ม 100 คะแนน ซึ่งเป็นการผิดวัตถุประสงค์ของการคัดเลือกที่ต้องการผู้รับจ้างที่มีศักยภาพ เพราะตัดเรื่องของการนำข้อเสนอทางเทคนิคมาพิจารณาด้วย

และสุดท้ายผลการคัดเลือกรอบสอง ปรากฎว่า บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ซึ่งแพ้ประมูลในครั้งแรก กลับมาเป็นผู้ชนะประมูล ขณะเดียวกันยังเกิดขั้นตอนเร่งรัด ให้ขั้นตอนประมูลบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จบเสร็จสิ้นโดยเร็ว ภายในวันที่ 30 ก.ย. 2564 ซึ่งเป็นวันที่นายยุทธนา หยิมการุณ อธิบดีกรมธนารักษ์ขณะนั้น เกษียณอายุราชการพอดีอีกด้วย

 

ข่าวที่น่าสนใจ

กระทั่งเมื่อกรมธนารักษ์ ยืนยันว่า บริษัทวงษ์สยามก่อสร้าง ชนะการประมูล และมีการฟ้องร้องขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครอง กลับปรากฎว่าบอร์ดที่ราชพัสดุ (11 มิ.ย. 2564) ดื้อดึงจะเดินหน้าให้มีการเซ็นสัญญาระหว่างกรมธนารักษ์ กับ บริษัทวงษ์สยามก่อสร้าง ทั้ง ๆ ที่เคยมีมติให้ชะลอไปก่อนเพื่อรอคำพิพากษาศาลปกครอง

รวมทั้งยังเห็นชอบแนวทางการบริหารโครงการท่อส่งน้ำ ทั้ง 3 สัญญา โดยเลือกจะไม่รวมเป็นสัญญาเดียว อ้างว่าเพื่อให้การบริหารระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก เดินหน้าต่อไปได้โดยไม่มีปัญหา แต่โดยข้อเท็จจริงการกระทำในลักษณะนี้ เท่ากับเป็นการหนี พ.ร.บ. ร่วมทุน ทำให้ภาครัฐเสี่ยงได้รับความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น เนื่องด้วยพบว่ามีข้อตกลงพิเศษ อนุญาตให้บริษัทเอกชน สามารถจ่ายค่าแรกเข้าเป็น 2 งวด ทั้งที่ทีโออาร์กำหนดให้บริษัทคู่สัญญา จ่ายงวดเดียวในวันที่ลงนามเซ็นสัญญา

เหล่านี้ยังไม่นับรวมพฤติกรรมอื่น ๆ ว่าด้วย การส่อเจตนาทุจริตเพื่อประโยชน์ให้เอกชน, การเร่งรัดดำเนินการ จนอาจทำให้ได้เอกชนที่ไม่มีศักยภาพในการบริหารโครงการ และสุดท้ายทำให้ประชาชนเดือดร้อนจ่ายค่าน้ำแพง รวมถึงทำลายวัตถุประสงค์การบริหารจัดการน้ำเพื่อรองรับโครงการ EEC

ขณะเดียวกัน นายไชยา พรหมา ส.ส.หนองบัวลำภู พรรคเพื่อไทย (พท.)ในฐานะประธานกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและการบริหารงบประมาณ สภาผู้แทนราษฎร เป็นอีกบุคคลที่นำประเด็นการประมูลท่อส่งน้ำ EEC มาอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง หลังจากก่อนหน้า ได้ทำหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ขอให้ยกเลิกการประมูลโครงการระบบท่อส่งน้ำอีอีซี โดยการเปิดประมูลใหม่ในระบบอีบิดดิ้ง เพื่อให้ทุกบริษัทได้เข้าร่วมประมูล เพื่อให้เกิดการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรม เนื่องจากการเปลี่ยนแปลง แก้ไข ทีโออาร์ในการประมูลสร้างความไม่ชัดเจนให้เกิดขึ้น

รวมถึงในการชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯ ตัวแทนกรมธนารักษ์ก็ตอบได้ไม่ชัดเจน ถึงเหตุผลการเปลี่ยนแปลงทีโออาร์ผล หรือการลดสเปกทีโออาร์รอบแรก หรือแม้แต่ประเด็นปัญหาว่าอาจทำให้เกิดขัดขัดแย้งเรื่องการส่งมอบระบบท่อส่งน้ำในอีอีซี 2 สาย ตามสัญญาสัมปทานที่จะครบกำหนดในปี 2566 เพราะอาจเกิดการตีความในกรรมสิทธิ์ ว่า ระบบท่อเหล่านี้เป็นของใครแน่ระหว่าง บริษัท อิสท์วอเตอร์ ที่เป็นเจ้าของสัมปทานเดิมกับกรมธนารักษ์

 

 

ล่าสุด วันที่ 27 ก.ค.65 นายไชยา ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ ทีมข่าว TOPNEWS ถึงการตรวจสอบการประมูลโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก (อีอีซี) มูลค่า 2.5 หมื่นล้านบาท ที่ กรมธนารักษ์ นัดหมาย บริษัท วงษ์สยาม ก่อสร้าง เซ็นสัญญาโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก (อีอีซี) ในวันที่ 3 ส.ค.65 นี้ ว่า หากเป็นไปได้ ในฐานะกรรมาธิการฯ ที่ได้ติดตามเรื่องนี้ ต้องการให้ กรมธนารักษ์ เลื่อนการลงนามออกไปก่อน เพื่อรอคำพิพากษาของศาลปกครอง เพราะเกรงว่า หากยังเดินหน้าดำเนินการลงนามต่อไป จะทำให้ประเทศเกิดความเสียหายได้

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของคณะกรรมาธิการฯ หลังจากที่มีการเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงทั้ง คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงโครงการท่อส่งน้ำอีอีซี กรมธนารักษ์ และภาคเอกชน มองว่า การประมูลที่เกิดขึ้นไม่มีความเป็นธรรม เนื่องจากกระบวนการทั้งหมดมีจุดที่น่าสงสัยมาโดยตลอด

1. เหตุใดจะต้องเร่งรัดลงนามสัญญาให้เสร็จสิ้นก่อนการเกษียณอายุราชการของอธิบดีกรมธนารักษ์คนเก่า (ยุทธนา หยิมการุณ)

2. การอาศัยผลของการศึกษาของ มหาวิทยาลัยเกษตรฯ อ้างอิงเรื่องการกำหนดปริมาณน้ำเพื่อยกเลิกการประมูลครั้งที่ 1 ซึ่งจากการสอบถามไปยังมหาวิทยาลัยเกษตรฯ ระบุว่า ในการวิจัยไม่ได้คำนึงถึงปริมาณน้ำ

และจากการการสอบถามไปยัง บริษัท จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก จำกัด (มหาชน) หรือ อีสท์ วอเตอร์ ว่า ได้ทราบถึงเรื่องการกำหนดปริมาณน้ำหรือไม่ ทางด้านของอีสท์ วอเตอร์ รวมไปถึงอธิบดีคนเก่าได้ยืนยันว่า ในการยื่นซองไม่ได้นำเรื่องของปริมาณน้ำมาเป็นสาระสำคัญและไม่ได้มีการให้คะแนนในจุดนี้ รวมถึงราคาที่เสนอมามีการเขย่งกัน เพราะอีสท์ วอเตอร์ ได้เสนอราคาที่ 350 ล้านบาท ขณะที่บริษัท วงษ์สยาม ก่อสร้าง จำกัด ได้เสนอที่ 150 ล้านบาท กลายเป็นการลักลั่น ซึ่งกรมธนารักษ์ สามารถเรียกคู่กรณีมาชี้แจงได้ แต่ไม่ดำเนินการ ทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นได้

3. เมื่อมีการประกาศเชิญชวนประมูลครั้งใหม่ในส่วนของ TOR ไม่ได้มีการนำเรื่องของปริมาณน้ำมาเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา และให้คู่กรณีทุกรายสามารถเข้าแข่งขันใหม่ภายใต้กติกาที่เป็นธรรม แต่กลับมีการลดสเปคคุณสมบัติคุณสมบัติผู้เข้าแข่งขัน อาทิ ทุนจดทะเบียนเงินชำระค่าแรกเข้า ซึ่งไม่ควรเป็นเกณฑ์ในการแข่งขัน รวมถึงมีการเปลี่ยนแปลงคณะกรรมการดำเนินการหลายชุด ทำให้เกิดข้อสังเกตขึ้นและทำให้เป็นข้อสงสัยว่าการประมูลที่เกิดขึ้นมีความไม่โปร่งใส และยังมีการออกกฎหมายเพื่อเอื้อการประมูลครั้งนี้ด้วย

 

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบคณะกรรมาธิการ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า การประมูลที่เกิดขึ้น โดยใช้ผลการวิจัย เป็นการหลีกเลี่ยงพ.ร.บ. ร่วมทุนหรือไม่ อีกทั้งมองว่าโครงการประมูลท่อส่งน้ำ EEC ไม่ได้เกิดขึ้นจากการประมูลปกติ เพราะเกิดขึ้นจากมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อพ.ศ. 2535 ที่รัฐบาลต้องการจะลดภาระงบประมาณ รัฐบาลจึงให้เอกชนเข้าไปร่วมดำเนินการ โดยการจัดตั้งบริษัท อีสท์ วอเตอร์ ที่จัดตั้งขึ้นมาภายใต้มติครม. และถือหุ้นโดย การประปาส่วนภูมิภาค(กปภ.) และการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งทางด้านของกปภ. เป็นผู้ถือหุ้น 100% ก่อนจะมีการแปลงสภาพหุ้นเข้าไประดมในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามมติครม. และถึงแม้ว่า อีสท์ วอเตอร์ จะแปลงสภาพเป็นเอกชนแต่จะต้องทำงานบริการให้ประชาชน จนสัญญาครบ 30 ปี ซึ่งจะครบในปี 2566

ขณะเดียวกัน จากข้อสังเกตุ พบว่า ในการเปิดประมูลครั้งนี้ กรมธนารักษ์ได้มีการรวมสัญญาท่อส่งน้ำทั้ง 3 เส้นเข้าด้วยกัน แต่พบว่าทั้ง 3 เส้นไม่ได้หมดสัญญาพร้อมกัน จึงอาจทำให้เกิดปัญหาในเรื่องของการส่งมอบพื้นที่ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งข้อพิรุธที่เกิดขึ้นเพราะสัญญาที่จะมีการลงนามในวันที่ 3 สิงหาคมนั้น จะมีประเด็นเรื่องการส่งมอบพื้นที่ การส่งมอบท่อส่งน้ำที่ยังไม่หมดสัญญา จนทำให้บริษัท อีสท์ วอเตอร์ เรียกร้องสิทธิของตนเองเนื่องจากยังไม่หมดสัญญา แม้ท่อส่งน้ำทั้ง 2 เส้นไม่ได้มีการทำสัญญาแต่เป็นข้อตกลงขออนุโลมที่กรมธนารักษ์จะคิดค่าเช่าจากอีสท์ วอเตอร์ ก็ตาม

จึงมองว่า หากกรมธนารักษ์ ยังคงเดินหน้า ก็ยังมีปัญหาเรื่องการส่งมอบพื้นที่และการเรียกร้องสิทธิ์ ของผู้ประกอบการรายใหม่และผู้ประกอบการรายเดิม ดังนั้น กรมธนารักษ์จำเป็นที่จะต้องเคลียร์เรื่องนี้ให้มีความชัดเจนก่อน และจากข้อสังเกตของอัยการสูงสุดก็ได้มีการตั้งสังเกตในเรื่องนี้เช่นกัน

นายไชยา มองว่า โครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้ถูกจัดตั้งขึ้นจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อ พ.ศ 2535 ซึ่งได้ให้ กปภ. ไปดำเนินการบริหารจัดการน้ำพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และการประปา ได้ตั้ง บริษัท อีสท์ วอเตอร์ มาเพื่อดำเนินการ และการที่อีสท์ วอเตอร์ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ก็มาจากความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี เพื่อลดภาษีประชาชนทั่วไปภาษีประชาชนทั่วไปงบประมาณในการลงทุน และรัฐบาลยังถือหุ้นอีสท์ วอเตอร์อยู่ จึงถือได้ว่าบริษัทเป็นของรัฐ และเชื่อว่าโครงการที่เกิดขึ้นจะมีมูลค่าเกินกว่า 5 พันล้านบาท ซึ่งจะต้องนำมาเข้าสู่พ.ร.บ.ร่วมทุน ในการดำเนินการจัดการ

และจากการที่รัฐมนตรี ได้กล่าวอ้างเรื่องผลประโยชน์ที่รัฐจะได้จำนวน 2.5 หมื่นล้านบาทนั้น เชื่อว่าหากผู้ชนะประมูล สามารถจ่ายเงินให้รัฐได้ถึง 2.5 หมื่นล้านบาท แสดงให้เห็นว่า ผลตอบแทนที่ได้จะต้องมากกว่าอย่างแน่นอน และจะทำให้บริษัทที่มีศักยภาพเข้ามาแข่งขันเพิ่มขึ้น

ส่วนกรณีที่ทางด้านกรมธนารักษ์ ได้ออกมาระบุว่า ในอีสท์ วอเตอร์ ได้ให้ผลตอบแทนที่น้อย นายไชยา กล่าวว่า คณะกรรมการจะต้องพิจารณาว่า ในการลงทุนโครงการท่อส่งน้ำภาคตะวันออกนั้น เริ่มแรกอีสท์ วอเตอร์ เป็นผู้ลงทุนและปูทางมาเองทั้งหมด โดยที่รัฐไม่ต้องลงทุน จึงทำให้การแบ่งผลประโยชน์ให้รัฐค่อนข้างน้อย เพราะจะต้องเเบ่งเงินไปลงทุนด้วย

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน
สถาปนาเขตพื้นที่คุ้มครองฯ ชาติพันธุ์ชุมชนชาวเลโต๊ะบาหลิว

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น