เมื่อวันที่ 4 ส.ค. นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ หัวหน้าที่ปรึกษาระดับกระทรวง (นพ.ทรงคุณวุฒิระดับ 11) กล่าวถึงกรณีที่ รศ. ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ออกมาวิพากษ์ วิจารณ์ระบบการบริหารจัดการยาโควิด-19 ของประเทศไทยว่า การสื่อสารของรศ. ดร.เจษฎา ที่ผ่านมา ท่านสนับสนุนประชาชนที่ซื้อยากินเอง แล้วยานั้นไม่ใช่ยาสามัญประจำบ้าน แต่เป็นยาโมลนูพิราเวียร์ ซึ่งเป็นยาควบคุมพิเศษ ที่จะใช้ได้ก็ต่อเมื่อแพทย์จ่ายเท่านั้น เนื่องจากเป็นยาที่ผลิตออกมาอย่างรวดเร็ว และยังอยู่ระหว่างเงื่อนไขในสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงเป็นยาที่มาพร้อมกับเงื่อนไขมากมาย แล้วถามว่ามันเหมาะกับการให้ประชาชนซื้อหามากินเองหรือไม่ เรื่องนี้ตนไม่ได้เป็นห่วงคนเดียว แต่แพทย์หลายๆ ท่านก็ยังออกมาแสดงความห่วงใยต่อการสื่อสารของรศ. ดร.เจษฎา เช่น รศ.นพ.ฉันชาย สิทธิพันธุ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาล (ผอ.รพ.) จุฬาลงกรณ์ ออกมาให้ความเห็นว่า การใช้ยาโดยเฉพาะยาต้านไวรัสควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือผลกระทบจากยาภายหลัง เพราะการใช้ยาเกินจำเป็น นอกจากเกิดผลกระทบต่อร่างกายแล้ว ยังเท่ากับเป็นการเบียดเบียนผู้อื่นที่มีความจำเป็นต้องใช้ยาด้วย
“หมอรุ่งเรือง” ดึงสติ “อ.เจษฎา” ใช้ปัญญาแทนอคติ
ข่าวที่น่าสนใจ
นพ.รุ่งเรือง กล่าวต่อว่า ในกระทรวงสาธารณสุข มีความพยายามชี้แจงในเรื่องนี้เช่นกัน เพราะเรามีเกณฑ์การให้ยาอยู่แล้ว เช่นยาโมลนูพิราเวียร์ เราจะให้กับผู้ที่มีอาการ เป็นผู้ป่วยกลุ่ม 608 และได้วัคซีนไม่ครบ ซึ่งเอาเข้าจริง เมื่อหมอตรวจร่างกายแล้ว ก็อาจจะพิจารณา ให้ยาตัวอื่น เรื่องการรักษาผู้ป่วย เราต้องปรับตามร่างกายของผู้ป่วย และไม่ใช่ว่ายาตัวเดียวกันจะเหมาะสมกับทุกคน นี่คือเรื่องทางการแพทย์ ที่ลงความเห็นมาโดยผู้เชี่ยวชาญ ส่วนการจะมาบอกว่า ที่ไม่จ่ายยาตัวนั้นตัวนี้ เพราะยาขาด บริหารไม่ดี ขอย้ำว่าคนละเรื่อง กระทรวงสาธารณสุขสต็อกยาไว้อยู่แล้ว แต่การที่ผู้ป่วยจะได้ยาอะไรนั้น ให้ขึ้นกับดุลพินิจของแพทย์พิจารณา เพราะถ้าประชาชนใช้กันเองโดยไม่สนใจข้อบ่งชี้ มีแนวโน้มจะเป็นการรักษาโรคหนึ่ง แต่แลกกับการเกิดปัญหาที่ไม่ควรเกิด ซึ่งไม่มีทางคุ้มค่า ที่สำคัญ การซื้อยาทานเองนั้น เกรงว่าจะกลายเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพเข้าไปอีก
“รศ. ดร.เจษฎา ที่ผ่านมาก็ชัดเจนว่า มีความเห็นทางการเมืองอย่างไร แล้วจะเชื่อได้อย่างไรว่าในทางวิชาการ จะไม่เอาอคติทางการเมืองมาปน ขอให้ใช้สติและปัญญาแทนอคติ ต้องพูดบนข้อเท็จจริงวิชาการ มิใช้อารมณ์ความรู้สึกหรือหิวแสง มีวาระแฝง อยากดังสงสารประชาชน เป็นห่วงมากๆ ด้วยความเคารพ ท่านอาจจะเตลิดไปบ้าง ก็ขอให้เอาอคติออกไป แล้วกลับมาใช้สติและปัญญาคิดวิเคราะห์ แล้วช่วยกันสื่อสารในเรื่องที่ถูกต้องดีกว่ามาปลุกปั่นสังคมไปในทางที่ผิด เรื่องนี้ มีหมอหลายท่านออกมาดึงท่านแล้ว ผมก็ขอเป็นอีกแรงหนึ่งที่สะกิดท่าน ก็หวังว่าท่านจะตื่นเสียที เห็นแก่ชาวบ้าน และอย่าทำอะไรเสื่อมเสียเกียรติและศักดิ์ศรี นักวิชาการ และครูบาอาจารย์เลยครับ” นพ.รุ่งเรือง กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง