อย่าอ่านแค่พาดหัว “อดีตรองอธิการฯมธ.” สรุปชัด 4 ข้อ คดีภาษี 17,000 ล้าน “ทักษิณ” ยิ่งย้ำเป็นนิติกรรมอำพรางตระกูลชินฯ

อย่าอ่านแค่พาดหัว "อดีตรองอธิการฯมธ." สรุปชัด 4 ข้อ คดีภาษี 17,000 ล้าน "ทักษิณ" ยิ่งย้ำเป็นนิติกรรมอำพรางตระกูลชินฯ

รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ศาลภาษีอากรกลาง กรณีนายทักษิณ ชินวัตร ยื่นฟ้องกรมสรรพากรและผู้ที่เกี่ยวข้อง ว่าการประเมินและการออกหมายเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปเป็นเงิน 17,000 ล้านบาท เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลได้ตัดสินให้เพิกถอนหมายเรียกเก็บภาษีดังกล่าว โดยมีคำวินิจฉัยว่า

ข่าวที่น่าสนใจ

“การที่กรมสรรพากรได้ถือเอาการออกหมายเรียกนาย พานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเคยพิพากษาแล้วว่าเป็นตัวแทนเชิด ไม่ใช่เจ้าของตัวจริง ของบริษัทชินคอร์ป เป็นการออกหมายเรียกเจ้าของตัวจริงคือ นายทักษิณ ตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฎากร เป็นการดำเนินการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการประเมินจะต้องออกหมายเรียกไปยังนายทักษิณซึ่งเป็นผู้ถูกประเมินโดยตรง จึงถือว่าเป็นการไม่ได้ออกหมายเรียกตามกำหนดเวลาตามมาตรา 19 แห่งประมวลรัษฏากร อีกทั้งนิติกรรมที่ทำขึ้นไม่ได้ก่อให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ในหุ้นของชินคอร์ปแต่อย่างใด เพราะยังต้องถือว่านายทักษิณยังคงเป็นเจ้าของหุ้นบริษัทดังกล่าวอยู่เหมือนเดิม นายทักษิณจึงไม่ใช่ผู้มีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 39 ศาลจึงให้เพิกถอนการประเมินภาษีดังกล่าว”

แน่อนว่า สำนักข่าวทุกสำนักต่างรายงานข่าวนี้ โดยเฉพาะสำนักข่าวที่เรียกตัวเองว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยต่างนำเสนอข่าวนี้กันอย่างครึกโครม ที่น่าเศร้าคือ ผู้ที่เข้่ามาแสดงความคิดเห็นที่เชียร์นายทักษิณ มีจำนวนมากบอกว่า คดีนี้เกิดจากการที่นายทักษิณถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง มึจำนวนมากบอกว่า การขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้วจะต้องมาเสียภาษีอะไร บางคนบอกว่า รัฐบาลจะต้องคืนภาษีให้กับนายทักษิณในขณะที่ถังแตกแล้วจะมีเงินหรือ มีคนหนึ่งถึงกับบอกว่า นายทักษิณไม่มีคดีเหลือแล้ว กลับบ้านได้แล้ว

ความเห็นต่างๆข้างต้นนี้แสดงให้เห็นว่า ผู้แสดงความคิดเห็นไม่ได้อ่านเนื้อข่าว เพียงแต่ดูที่หัวข่าวเท่านั้น ทั้งยังแทบไม่มีใครเลยที่มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องการขายหุ้นชินคอร์ปให้กับ เทมาเส็ก โดยไม่ต้องเสียภาษี ในที่นี้จึงใคร่ขอสรุปความจริงทั้งหมดที่สำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องดังนี้

1. ศาลภาษีอากรกลางมิได้ตัดสินว่านายทักษิณไม่มีความผิดที่ไม่ได้เสียภาษี แต่ตัดสินว่า กระบวนการออกหมายเรียก และประเมินภาษีของกรมสรรพรกร ไม่เป็นไปตามกฎหมาย จึงให้เพิกถอนเสีย ดังนั้นมิได้หมายความว่าการที่นายทักษิณไม่ได้เสียภาษีนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
2. การประเมินภาษีของกรมสรรพากรในกรณีนี้ ไม่ใช่เป็นการประเมินภาษีจากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ปในตลาดหลักทรัพย์ แต่เป็นการขายหุ้นเฉพาะในส่วนที่เป็นของบริษัท Ample Rich ซึ่งก็เป็นบริษัทของนายทักษิณที่จดทะเบียนที่ British Virgin Islands ซึ่งถ้าให้ Ample Rich ซึ่งเป็นนิติบุคคลขายหุ้นให้เทมาเส็ก แม้จะเป็นการขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ ก็ไม่ได้รับการยกเว้นภาษีเหมือนกับบุคคลธรรมดา นายทักษิณจึงเลี่ยงด้วยการให้ Ample Rich ขายหุ้นให้นาย พานทองแท้ และน.ส.พินทองทา จำนวน 329.2 ล้านหุ้นในราคาหุ้นละ 1 บาท ซึ่งเป็นการขายในราคาพาร์ ในขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่หุ้นละ 49.25 บาทและนำไปขายให้เทมาเส็กผ่านตลาดหลักทรัพย์ในราคาตลาด ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้แม้แต่บาทเดียว ซึ่งต่อมาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเห็นว่าเป็นนิติกรรมอำพราง ไม่ได้ซื้อขายกันจริง แต่ทำเพื่อเลี่ยงภาษี เพราะเจ้าของตัวจริงยังคงเป็นนายทักษิณ ภายหลังกรมสรรพากรจึงออกหมายเรียกเพื่อทำการประเมินภาษี แต่กระบวนการออกหมายเรียก ไม่ได้เป็นไปตามกฎหมาย นายทักษิณจึงรอด

3. การตัดสินครั้งนี้เป็นการตัดสินของศาลภาษีอากรกลาง ซึ่งนายทักษิณเป็นโจทก์ เป็นคนละกรณีกับที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง ที่ตัดสินให้ยึดทรัพย์นายทักษิณกว่า 70,000 ล้านบาท เมื่อปี 2553 แต่ศาลภาษีอากรก็ได้นำข้อวินิจฉัยกรณีที่ว่านายทักษิณเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปตัวจริงมาเป็นบรรทัดฐานในการตัดสินคดีนี้

4. นายทักษิณยังไม่ได้มีการชำระภาษีจำนวน 17,000 ล้านบาทให้กรมสรรพากรแต่อย่างใด เนื่องเพราะนายทักษิณได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ฯแต่ไม่เป็นผล จึงได้ยื่นฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลางขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีดังกล่าว ซึ่งนายทักษิณเป็นฝ่ายชนะตามข่าว

ดังนั้นท่านที่เสพข่าวต้องไล่เรียงให้ดี อย่าไปเข้าใจว่า ศาลตัดสินว่าการขายหุ้นชินคอร์ปของนายทักษิณให้กับเทมาเส็กโดยไม่ต้องเสียภาษี เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว เพราะมันไม่ใช่ จะอย่างไร การให้ Ample Rich ซึ่งก็เป็นของนายทักษิณ ขายหุ้นชินคอร์ปที่ถืออยู่ให้กับนาย พานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ในราคาเพียงหุ้นละ 1 บาท ในขณะที่ราคาตลาดอยู่ที่หุ้นละ 49.25 บาท เป็นนิติกรรมอำพรางเพื่อเลี่ยงภาษีและเป็นความผิดอย่างไม่ต้องสงสัย แต่กฎหมายจะเอาผิดนายทักษิณได้แค่ไหนอย่างไร คงต้องรอดูกันต่อไป สาวกของทักษิณก็อย่าเพิ่งตีปี๊บไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เปิดตัว "TKR Connect" แพลตฟอร์มจัดหางานครบวงจร สร้างมิติใหม่รองรับแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกม.
ออกหมายจับ "หมอบุญ" พร้อมพวกรวม 9 คน “ฉ้อโกง-ฟอกเงิน” ปลอมลายเซ็นอดีตลูกสะใภ้กู้เงิน 8 พันล้าน
ระทึกกลางดึก ไฟไหม้ "ร้านกาแฟ" เผาวอดทั้งหลัง เสียหายกว่า 7 แสนบาท
"อุตุฯ" เผย "เหนือ-อีสาน-กลาง" อากาศเย็นตอนเช้า เตือนใต้ยังรับมือฝนตก
แม่ทัพภาคที่ 2 ลงพื้นที่เยี่ยมเยียนครอบครัวกำลังพล ห่วงใยไปถึงบ้าน เพราะเราคือครอบครัวกองทัพบก
สวนนงนุชพัทยาเปิดเวที CHONBURI PROUD EXPO 2024 หนุน SMEs ชลบุรีสู่ตลาดโลก
“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น