ศบค.แจงไทม์ไลน์ ต.ค.ปรับโควิดสู่เฝ้าระวัง ยังไม่คุยยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

ศบค.แจงไทม์ไลน์ ต.ค.ปรับโควิดสู่เฝ้าระวัง ยังไม่คุยยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

เมื่อเวลา 12.00 น.วันที่ 8 ก.ค.ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือศบค. แถลงผลการประชุมศบค.ชุดใหญ่ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธาน ว่า อธิบดีกรมควบคุมโรค รายงานความคืบหน้าในการจัดทำกรอบนโยบาย แนวทางปฏิบัติและห้วงเวลาดำเนินการในการเปลี่ยนผ่านไปสู่ภาวะ Post-Pandemic เพื่อการเฝ้าระวังและป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 และมีการนำเสนอในหลักการความคิดใน 2 เรื่อง 1. คือ การประเมินสถานการณ์ และ 2.ความเสี่ยงด้านการป้องกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ประเด็น คือ 1. ทั่วโลกยังมีการเพิ่มจำนวนของการติดเชื้อ โควิด-19 ภายหลังจากที่มีการระบาดโอมิครอน BA4.5 ระบาดเนื่องจากการกลายพันธุ์ที่รวดเร็วแต่จำนวนผู้ที่มีอาการรุนแรงและเสียชีวิตไม่สูงมากเมื่อเทียบกับช่วงการระบาดของโอมิครอนสายพันธุ์ BA 1.2 และเดลต้า 2.ผลการสำรวจภูมิต้านทานในประชาชนไทยเมื่อเดือนเม.ย.-พ.ค.2565 พบว่าประชาชนมากกว่าร้อยละ 90 ตรวจพบภูมิต้านทาน 3.ข้อมูลศึกษาประสิทธิผลของวัคซีนใช้จริงในไทยพบว่าการฉีดสามเข็มขึ้นไปในทุกสูตรสามารถป้องกันการป่วยรุนแรงและการเสียชีวิตสูงมากกว่า 90% และต่อเนื่องได้ไม่น้อยกว่า 6 เดือน แต่ป้องกันการติดเชื้อได้ต่ำ และ4.คาดการณ์ว่า โควิด-19 จะมีลักษณะการเกิดโรคในประชากรจะคล้ายคลึงกับการระบาดของไข้หวัดใหญ่ ซึ่งจะพบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปีแต่อาจมีการระบาดในบางช่วงเวลา โดยการป่วยที่รุนแรงเสียชีวิตส่วนใหญ่ จะเกิดกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีน และกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่มีโรคร่วมที่รับวัคซีนไม่ครบ

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า 2 ด้านการรักษาการประเมินสถานการณ์และความเสี่ยง จากการประเมินอาการผู้ป่วยมีแนวโน้มไม่รุนแรงยกเว้นในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรครุนแรงการใช้ยาต้านไวรัสควรใช้เฉพาะกลุ่มที่มีอาการหรือมีปัจจัยเสี่ยงต่ออาการรุนแรงการจัดบริการด้านการรักษาพยาบาลพิจารณาอาการผู้ป่วยถ้าไม่มีอาการให้แยกกากที่บ้านถ้ามีอาการอื่นๆจากโรคประจำตัว หรือระดับออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 94%ให้รับไว้ที่โรงพยาบาล และระยะเวลาในการกักตัว ในกรณีที่ไม่มีอาการหรืออาการเพียงเล็กน้อยให้แยกกักหลังตรวจพบอย่างน้อย 5 วัน ไม่จำเป็นต้องรักษาตัวที่โรงพยาบาล จากนั้นให้ปฏิบัติตนอย่างเคร่งครัดอย่างน้อยอีก 5 วัน

ข่าวที่น่าสนใจ

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวอีกว่า โดยแนวทางปฏิบัติไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมจากแนวทางปฏิบัติยังคงจะใช้วิธีการที่ทำมาและยังมีความจำเป็นจะต้องใช้คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพฯ จัดทำแผน และสื่อสารสถานการณ์ให้ประชาชนได้รับทราบหากมีการระบาดผิดปกติกลับขึ้นมาอีก ทั้งนี้ ที่ประชุมศบค.รับทราบกรอบแนวปฏิบัติด้านต่างๆตามห้วงเวลาโดยในเดือนส.ค.ยังคงสถานการณ์ฉุกเฉิน โดยศบค. มีบทบาท เดือนก.ย.คงสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ปรับเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวัง โดยศบค.และคณะกรรมการโรคติดต่อชาติ มีบาทบาท ,เดือนต.ค. ประกาศเป็นโรคระบาดเฉพาะพื้นที่เมื่อมีเหตุการณ์จำเป็น โดยบทบาทของศบค.จะลดลง เปลี่ยนมาให้ศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (อีโอซี) กระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการโรคติดต่อชาติคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพฯ จะเข้ามามีบทบาทนำไปสู่การทำงาน ,เดือนพ.ย. -ธ.ค. ประกาศโรคระบาดเฉพาะพื้นที่เมื่อมีเหตุการณ์จำเป็น โดยคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดและคณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพฯมีบทบาท

นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่า แต่ในที่ประชุมยังไม่ได้มีการพูดคุยกันว่าเราจะยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯหรือไม่ เพราะจะต้องมีการประเมินกันต่อ เรายังมีเวลาขอรอดูสถานการณ์ จนถึงเดือนก.ย.เพราะยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนใดๆต้องหาพูดคุย เพราะประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯไปถึงเดือนต.ค.อยู่แล้ว.

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

เมียไรเดอร์ เปิดใจเสียงสั่น กลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม หลังรู้ข่าว หนุ่มอินเดียซิ่งเก๋งได้ประกันตัว ลั่น ‘คนมีเงินมันยิ่งใหญ่’
นายกฯ เปิดงาน Thailand Reception เชิญชวนสัมผัสเสน่ห์อาหารไทย ชูศักยภาพเศรษฐกิจ
จีนแห่ ‘โคมไฟปลา’ แหวกว่ายส่องสว่างในอันฮุย
"พิพัฒน์" ตรวจเยี่ยมเอกชน ต้นแบบอุตสาหกรรม ผลิตด้วยเทคโนฯ AI พร้อมเร่งนโยบาย up skill ฝีมือแรงงานไทย
ผู้นำปานามาลั่นคลองปานามาไม่ใช่ของขวัญจากสหรัฐ
จีนไม่เห็นด้วยหลังไทยยืนยันไม่มีแผนส่งกลับอุยกูร์ในขณะนี้
"ดีเอสไอ" อนุมัติให้สืบสวนคดี "แตงโม" ปมมีการบิดเบือน บุคคลอื่น-จนท.รัฐเกี่ยวข้องหรือไม่
"พิพัฒน์" นำถก "คบต." ลงมตินายจ้างต้องยื่นบัญชีชื่อต้องการแรงงานต่างด้าว ให้เสร็จใน 13 ก.พ.68
ส่องรายได้ "ดิว อริสรา" หลัง "ไผ่ ลิกค์" เฉลยชื่อดาราดัง ปมยืมเงินปล่อยกู้ โซเชียลจับตา รอเจ้าตัวชี้แจง
ศาลให้ประกันตัว "หนุ่มลูกครึ่งอินเดีย" ขับรถชนไรเดอร์เสียชีวิต ตีวงเงิน 6 แสนบาท คุมเข้มใส่กำไล EM ภรรยาผู้ตาย ลั่นไม่ให้อภัย

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น