เป็นที่ทราบกันดีว่า “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ถูกพักงานในตำแหน่งนายกฯช่วงนี้ จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมากรณีปม 8 ปี ว่าจะออกไปทางไหน เพราะตอนนี้ก็สามารถออกได้ทั้ง 2 หน้าทั้งลูกผีและลูกคน ตรงนี้ก็ขึ้นอยู่กับทีมกฎหมายของพล.อ.ประยุทธ์ด้วย ว่าจะส่งคำร้องแก้ไขกล่าวหาเพื่อชี้แจงต่อ 9 อรหันต์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้แหลมคมและสมเหตุสมผลมากน้อยเพียงใด โดยยเฉพาะการแก้ไขข้อกล่าวหาของ 171 ส.ส.ฝ่ายค้าน ที่ปมสำคัญก็อยู่ที่ รัฐธรรมนูญ มาตรา 158 วรรค 4 ที่ระบุว่า “นายกรัฐมนตรีจะดำรงตำแหน่งรวมกันแล้วเกินแปดปีมิได้ ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการดำรงตำแหน่งติดต่อกันหรือไม่” และ รัฐธรรมนูญ มาตรา 264 วรรคแรก “ให้คณะรัฐมนตรีที่บริหารราชการแผ่นดินอยู่ในวันก่อนวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้เป็นคณะรัฐมนตรีตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้” งานนี้คงต้องจับตาดูทีมกฎหมายของนายกฯ รวมถึงกุนซืออย่างวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ฝ่ายกฎหมาย ปกรณ์ นิลประพันธ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และรวมถึง มีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูฐ (กรธ.) ว่าจะช่วยชี้แจงตีความข้อกฎหมายเรื่องนี้เพื่อให้บิ๊กตู่หลุดพ้นบ่วงกฎหมายในคราวนี้ได้หรือไม่
ความจริงการยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความในช่วงนี้เป็นเกมที่พรรคฝ่ายค้านอย่างพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล เครือข่ายฝ่ายทักษิณเตรียมการวางแพลนไว้อยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้จึงยื่นคำร้องให้ชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 17 ส.ค.2565 ประวิงเวลาให้เหมาะเจาะกับการตีความการนับวาระการดำรงตำแหน่งไม่เกิน 8 ปี ซึ่งพรรคฝ่ายค้านมองว่า 23 ส.ค.2565 คือเดดไลน์วันสุดท้ายของบิ๊กตู่ในตำแหน่งสร.1 การยื่นคำร้องให้ชวนส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย จึงคาบเกี่ยวกับช่วงสิ้นปีงบประมาณ 2565 พอดี แถมยังเป็นช่วงสำคัญสุดๆ เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ ปลัดกระทรวง อธิบดี ต่างๆ การยื่นคำร้องในห้วงเวลาดังกล่าวของพรรคฝ่ายค้าน จึงไม่ใช้เรื่องบังเอิญแต่เป็นความจงใจที่จะเบรกไม่ให้พล.อ.ประยุทธ์ใช้อำนาจในการจัดตัวแม่ทัพนายกอง วางตัวบุคคลากรในกรมกององค์กรต่างๆ รวมถึงการเข้าไปจัดสรรงบประมาณ
อย่างไรก็ตามจากนี้ก็ต้องจับตาดูบทบาทของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หลังได้รับส้มหล่นเข่งเบ้อเร่อ ขึ้นหลังเสือเป็นรักษาราชการแทนนายกฯ ในห้วงที่พล.อ.ประยุทธ์ถูกเบรกในการทำหน้าที่ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ประมาณ 1 เดือนในช่วงที่รอกระบวนการของศาลรัฐธรรมนูญ เสาร์-อาทิตย์ พล.อ.ประวิตรก็สร้างความฮือฮาหลังโทรศัพท์ไปหาผู้ว่าฯอยุธยา สั่งเสียเรื่องน้ำท่วม รวมถึงยกหูไปคุยกับ “เสี่ยทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯกทม. พร้อมระบุรัฐบาลยินดีช่วยเหลือกรุงเทพฯเต็มที่ในการป้องกันน้ำท่วม “มีอะไรก็โทรสายตรงมาหาได้” งานนี้ต้องบอกว่าพล.อ.ประวิตรเล่นเป็น อ่านเกมการเมืองทะลุ ขึ้นกุมบังเหียนปุ๊บก็หาแนวร่วมสร้างเรตติ้งให้คนได้ทันที เพราะตอนก่อนขึ้นมาถูกกระแสต่อต้านหนัก ทั้งบูลลี่ว่าทำงานไม่ไหว ทั้งการถากถางว่าถามเรื่องอะไรก็ “ไม่รู้ -ไม่รู้” ทั้งการถูกมองว่าแก่เกินแกง ว่าแล้วลุงป้อมเลยโชว์พาวเวอร์สั่งงานแบบรัวๆ ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
ขณะที่ช่วงบ่ายวันนี้เตรียมที่จะบุกกรมตำรวจ ปทุมวัน เพื่อไปนั่งเป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติหรือ “ก.ต.ช.” เพื่อแต่งตั้ง “พิทักษ์ 1” คนใหม่ แทนที่ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ที่จะเกษียณ 30 ก.ย.นี้ งานนี้ก็ต้องดูว่าบิ๊กป้อมจะเคาะผบ.ตร.คนใหม่ เป็นคนเดียวกับที่พล.อ.ประยุทธ์สนัยสนุนหรือต้องการหรือไม่ หรือจะหักจะพลิกโผเป็นคนอื่น เพราะชื่อเสียงของบิ๊กป้อมเรื่อง “ล้วงลูก-ควักโผ” นั้นไม่ธรรมดาเพราะสนั่นทุกวงการ โดยเฉพาะบริวารคนข้างกายอย่าง “ไอ้ห้อย-ไอ้โหน” บิ๊กทหารขาใหญ่ตท.6 เพื่อนซี้บิ๊กป้อม กับ อดีตขาใหญ่สีกากี เจ้าของรหัส “ป.ที่ 4” ซึ่งขึ้นชื่อลือชาเรื่อง “ล้วง -แคะ-แกะ-เกา” โผแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารและตำรวจทุกยุคทุกสมัย มาปีนี้เที่ยวนี้ก็ต้องดูว่าบิ๊กป้อมจะปล่อยให้คนข้างกาย ทั้ง “เพื่อน-น้อง” ทำความเสียหายเป็นขี้ปากชาวบ้านเหมือนเก่าก่อนหรือไม่ หรือจะโชว์บารมีเปล่งรัศมีผู้นำกำราบไม่ให้คนใกล้ตัวไม่ให้ทำอะไรเสียหายด่างพร้อย นอกจากโผตำรวจแล้วโผทหารที่ปีนี้ก็ต้องลุ้นเหมือนกัน เพราะมี 3 บิ๊กทหารเตรียมตัวเกษียณในปลายปีนี้ประกอบด้วย “ปลัดหน่อย” พล.อ.วรเกียรติ รัตนานนท์ ปลัดกลาโหม “ครูเฒ่า” พล.ร.อ.สมประสงค์ นิลสมัย ผบ.ทร. และ “บิ๊กป้อง” พล.อ.อ.นภาเดช ธูปะเตมีย์ ผบ.ทอ. เพราะฉนั้นต้องตามดูว่า หลังผงาดขึ้นเป็นรักษาการนายกฯแล้ว ตำแหน่ง “ ปลัดกห. -ผบ.ทร.-ผบ.ทอ. -ผบ.ตร” ที่พล.อ.ประยุทธ์เคยวางแนวไว้แล้ว ว่าใครจะขึ้นกุมบังเหียน พอถึงเวลาอำนาจเปลี่ยนไปอยู่ในมือพล.อ.ประวิตร โผ 4 ผู้นำองค์กรที่ว่าจะถูกขยับจะถูกเขยื้อนจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม
เพราะหลายคนก็เสียวสันหลังในช่วง 1 เดือนที่พล.อ.ประวิตรขึ้นมากุมบังเหียนรัฐบาลขี่หลังเสือนั่งเรือแป๊ะ จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม เรื่องนี้ในพ.ร.บ.ระเบียบ บริหาร ราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 48 เขียนอำนาจรักษาราชการแทนไว้ชัด “ ให้ผู้รักษาราชการแทนตามความในพ.ร.บ.นี้มีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ซึ่งตนแทน ในกรณีที่ผู้ดำรงตำแหน่งใดหรือผู้รักษาราชการแทนผู้ดำรงตำแหน่งนั้นมอบหมายหรือมอบอำนาจให้ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นปฏิบัติราชการแทน ให้ผู้ปฏิบัติราชการแทนมีอำนาจหน้าที่เช่นเดียวกับผู้ซึ่งมอบหมายหรือมอบอำนาจ….” พล.อ.ประวิตรมีอำนาจเต็มเทียบเท่านายกฯที่มอบหมายไว้ตามคำสั่งนายกฯที่ 237/2563 ให้พล.อ.ประวิตรเป็นรองนายกฯหมายเลข 1 หากตนเองปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้หรือไม่อยู่ไปต่างประเทศ แต่ก็มีติ่งไว้ว่า “ในระหว่างการรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ผู้รักษาราชการแทนข้างต้น จะสั่งการใดเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลและการอนุมัติเงินงบประมาณอันอยู่ในอำนาจของนายกรัฐมนตรีได้ต้องได้รับความเห็นชอบจากนายกรัฐมนตรีเสียก่อน” เพราะฉะนั้นหากดูตามพ.ร.บ.ระเบียบ บริหาร ราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 48 พล.อ.ประวิตรก็มีอำนาจล้นฟ้าเต็มที่เหมือนกับนายกฯทุกประการ และแม้คำสั่งนายกฯที่ 237/2563 จะระบุว่าถ้าเป็นการพิจารณาเรื่อง “บุคคล” กับ “งบประมาณ” ต้องถามนายดฯตัวจริงก่อน ก็ลักลั่นขบเหลี่ยมกันอยู่แต่ก็นั้นแหละถ้าบิ๊กป้อมแต่งตั้งโยกย้ายอย่างถูกต้องเป็นธรรมก็คงไม่มีปัญหาอะไร เช่นเดียวกับการพิจารณางบประมาณแต่ถ้าทำผิดธรรมาภิบาล แทรกแซงล้วงลูกจนเลอะเทอะไปหมด มีหวังติดคุกกันหัวโตเข้าตะรางกันง่ายๆ เพราะมันมีช่องทางให้ร้องกันอยู่
ถึงแม้อำนาจของบิ๊กป้อมจะมีเต็ม แต่การทำอะไรแบบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมโดยไม่ถามบิ๊กตู่ก่อนก็เสียวเหมือนกัน โดยเฉพาะการ “ปรับครม.” กับ “ยุบสภา” ที่คงจะไม่ได้ทำกันตามอำเภอใจได้สบาย จากนี้ก็ต้องลุ้นว่า 1 เดือนที่บิ๊กป้อมขึ้นขี่หลังเสือคุมจังหวะการเมืองในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานแทนน้องรักอย่างบิ๊กตู่ จะพาเรือแป๊ะไปรอดสันดอนหรือไม่ โดยพรุ่งนี้ 30 ส.ค. จะนั่งหัวโต๊ะประชุมครม. จะได้ “ก้อนอิฐ” หรือ “ดอกไม้” และอนาคตจะมีวาสนาได้เป็นแค่ “นายกฯชั่วคราว” หรือ “นายกฯตัวจริง”
///////////////////////