ฝ่ายค้าน เฝ้าจับตาการใช้อำนาจ “บิ๊กป้อม”

นพ.ชลน่าน ให้ความเห็นถึงกระแสยุบสภา ว่า แม้เรายืนยันว่าควรคืนอำนาจให้ประชาชน แต่เราเกรงจะมีสุญญากาศทางการเมืองเกิดขึ้น เนื่องจากการยุบสภาช่วงนี้ไม่เหมาะสม เพราะยุบแล้วจะไม่เกิดการเลือกตั้ง หากมีการเลือกตั้งก็อาจมีการออกพระราชกำหนดเอง หรือประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้งที่อาจไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้น ยังมีข้อถกเถียงอยู่คือการออก พ.ร.ก. ตามศักดิ์ทางกฎหมายใช้แทนพระราชบัญญัติไม่ใช่กฎหมายเลือกตั้ง อย่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจจะมีปัญหา หากใช้บังคับ แล้วมีคนยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญจนการเลือกตั้งเป็นโมฆะจนส่งผลเสียต่อประเทศ

“ถึงที่สุดอะไรที่ไม่เขียนในรัฐธรรมนูญ ก็ไปอ้างอิงเอาตรงนั้น ซึ่งอาจเป็นทางออกทางเลี่ยงได้ แต่จะชอบด้วยกระบวนการ วิธีการ แล้วเป็นประโยชน์โดยรวมหรือไม่ กติกาจะเป็นธรรมหรือไม่ ต้องไปดูกัน จึงมีโอกาสเกิดวิกฤตทางการเมือง หรือวุ่นวายเป็นไปได้สูงหากยุบสภาในช่วงนี้”

ดังนั้น ในส่วนอำนาจรักษาการนายกรัฐมนตรี จึงต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง และดูตามข้อเท็จจริงว่าเหมาะสมหรือไม่

ผู้สื่อข่าวถามว่า เพื่อให้เกิดความชัดเจน ควรยื่นให้ศาลตรวจสอบอำนาจรักษาการนายกรัฐมนตรีหรือไม่ นพ.ชลน่าน เผยว่า ต้องให้ฝ่ายกฎหมายพรรคเพื่อไทย ดูข้อมูล ข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายว่าจำเป็นต้องทำขนาดนั้นหรือไม่ ส่วนตัวยังไม่มีความรู้เท่านั้น

ส่วนกรณีโฆษกผู้นำฝ่ายค้านฯ นายอดิศร เพียงเกษ แถลงข่าวผลการประชุมผู้นำฝ่ายค้านเมื่อวานนี้ ที่จะมีการเสนอชื่อบุคคลให้ความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในประเด็นวาระดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครบ 8 ปี ของ พล.อ.ประยุทธ์ นพ.ชลน่าน ระบุว่า 2 ท่านนั้นที่ศาลรัฐธรรมนูญแจ้งไว้ (นายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธาน กรธ. และ นายปกรณ์ นิลประพันธ์เลขานุการ กรธ.) อาจจะน้อยไป เราในฐานะผู้เริ่มต้นให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้ร้องนั้น จึงจะขอเพิ่มเติมพยาน ซึ่งรายชื่อมีในใจแล้ว แต่ขอปิดรายชื่อไว้ก่อน ฝ่ายค้านจะดำเนินการปรึกษากับอดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายสุขุมพงษ์ โง่นคำ, นายชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และที่ปรึกษาด้านกฎหมายของพรรคเพื่อไทย และคณะทำงานด้านกฎหมาย เพื่อเสนอบุคคลในจำนวนที่เหมาะสม ซึ่งจะพยายามดูให้ครอบคลุม เพื่อถ่วงดุลกันกับรายชื่อพยานสองท่านนั้น