การเมืองเดือนกันยายนร้อนขึ้นมาทันที หลังมีข่าวว่าศาลรัฐธรรมนูญ เตรียมเรียกประชุมนัดพิเศษในวันพฤหัสที่ 8 ก.ย.นี้ เพื่อพิจารณาคำร้องคดีวาระการดำรงตำแหน่งไม่เกิน 8 ปี นายกรัฐมนตรีของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและรมว.กลาโหม ที่ส.ส.ฝ่ายค้านเป็นคนร้องมา ทั้งนี้การนัดประชุมดังกล่าว เกิดขึ้นภายหลังมีกระแสข่าวว่า วรวิทย์ กังศศิเทียม ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้รับคำชี้แจงของพยาน 3 ปากสำคัญในคดีนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือ 1. คำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาของพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้ถูกร้อง ซึ่งถูกส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่ 1 ก.ย.2565 โดยทีมงาน 3 พระกาฬที่ร่างประกอบด้วย วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย ดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกฯ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และ พล.ต.วิระ โรจนวาศ ที่ปรึกษานายกฯ อดีตผู้อำนวยการกองพระธรรมนูญทหารบก ที่เป็นมือกฎหมาย มือร่างคำสั่งคสช. 2. คำชี้แจงของ มีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และ 3. ปกรณ์ นิลประพันธ์ อดีตเลขานุการกรธ. ซึ่งปัจจุบันเป็นเลขาฯคณะกรรมการกฤษฎีกา สำหรับการประชุมนัดพิเศษวันดังกล่าว เพื่อให้องค์คณะได้อภิปรายคำชี้แจงและหลักฐานต่างๆ ว่า สิ้นข้อสงสัยหรือยัง เพียงพอที่จะวินิจฉัยได้แล้วหรือไม่ หากยังไม่สิ้นข้อสงสัยต้องแสวงหาหลักฐานและพยานเพิ่มเติมก็เรียกข้อมูลมาเพิ่มได้ แต่หากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อรหันต์ 9 คน เห็นตรงกันว่าสิ้นข้อสงสัยก็อาจจะนัดลงมติวินิจฉัยได้เลย อาจจะเป็นอาทิตย์ถัดไปไม่ 14-15 ก.ย. หรืออย่างช้าที่สุดก็คงไม่เกิน 21-22 ก.ย.นี้
เหตุผลที่การพิจารณาปม 8 ปีนายกฯงวดนี้เร็ว เพราะคดีไม่ได้มีความสลับซับซ้อนอะไรเป็นแค่การตีความข้อกฎหมาย คือ วินิจฉัยข้อกฎหมายไม่ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริง เพราะฉะนั้นแทบไม่ต้องเรียกพยานมาให้การหรือสอบสวนมากมายอะไร ระดับอรหันต์ 9 คนก็สามารถวินิจฉัยเรื่องนี้ได้สบายๆอยู่แล้ว เพียงแต่จะอ้างอิงให้น้ำหนักไปทางไหน จะให้รอดได้ไปต่อหรือจะให้หลุดให้กลับบ้าน อีก 1-2 อาทิตย์ก็ต้องวัดใจตุลาการศาลรัฐธรรมนูญทั้ง 9 คนดู ว่าจะวินิจฉัยเรื่องนี้ออกมายังไง ใช้หลักการไหน แต่เชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยเรื่องนี้โดยไม่ชักช้า เพราะกรณีที่พล.อ.ประยุทธ์ถูกเบรกเรื่องการทำหน้าที่เป็นการชั่วคราว แม้จะได้พี่ใหญ่ 3 ป.อย่าง “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯมาทำหน้าที่รักษาราชการแทนพลางไปก่อน รวมถึงมีการแก้คำสั่งสำนักนายกฯที่237/2563 ที่ห้ามรักษาราชการแทนนายกฯ แต่งตั้งบุคคลหรืออนุมัติงบประมาณใดๆ หากไม่ได้รับความเห็นชอบจากนายกฯ ด้วยคำสั่งสำนักนายกฯใหม่ที่ 215 /2565 ทำให้พล.อ.ประวิตรมีอำนาจสิทธิ์ขาดเต็มที่ อย่างไรก็ตามตัวพล.อ.ประวิตรก็รักษามารยาทแม้จะมีอำนาจเต็มเปี่ยมเทียบเท่านายกฯแล้ว แต่ก็พยายามรักษาบรรยากาศในช่วงศาลรัฐธรรมนูญกำลังพิจารณาเรื่องนี้ไม่ให้ขุ่นมัวหรือเกิดประเด็นดราม่ากระเทือนรัฐบาลเรือแป๊ะว่า “แตกหัก-แตกคอ” โดยไม่คิดแตะเรื่องปรับครม.หรืออนุมัติงบประมาณก้อนใหญ่ๆแต่อย่างใด โดยขอรอเวลาลุ้นฟังการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญก่อนว่าจะออกมาอย่างไร
อย่างไรก็ตามดูเหมือนการเมืองในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อเดือนกันยาอันตรายไม่ได้นิ่งขนาดนั้น เพราะล่าสุดเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอีกหลังนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรมช.มหาดไทยประกาศไขก๊อกลาออกจากตำแหน่ง ระหว่างถูกป.ป.ช.เรียกไปรายงานตัวที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางเมื่อวานนี้หลังถูกยื่นคำร้องปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ สมัยเป็นนายกฯอบจ.สงขลา กรณีไม่ยอมจ่ายเงินค่าซ่อมรถเอนกประสงค์ในการซ่อมสร้างทางวงเงิน 50 ล้านบาท จนถูกกระทรวงมหาดไทยสั่งให้พ้นจากการเป็นนายกฯอบจ.สงขลา ขณะที่ยังต้องลุ้นผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 14 ก.ย.2565 อีกคดี งานนี้ก็ต้องลุ้นว่าเมื่อนิพนธ์ทิ้งเก้าอี้รมช.มท.และทำให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจะยังอ่านคำวินิจฉัยในทางลบหรือจำหน่ายคดีออกไปหรือไม่ เพราะคำร้องที่ยื่นไปขอให้พิจารณาว่าความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงหรือไม่ ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ “ครูโอ๊ะ” กนกวรรณ วิลาวัลย์ รมช.ศึกษาธิการ ก็ถูกศาลฎีกาสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าจะมีคำพิพากษา เมื่อ 26 ส.ค.2565 กรณีบุกรุกป่าเขาใหญ่ อ.เมือง จ.ปราจีนบุรี ถ้านับรวม 2 อดีตรัฐมนตรีที่ถูกปรับพ้นครม.เรือแป๊ะไปก่อนหน้านี้ 2 คน คือ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ กับ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน ที่ถูกปลดพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีตั้งแต่ปีที่แล้ว 8 ก.ย.2564 จนถึงปัจจุบันมีรัฐมนตรีเรือแป๊ะหายไปแล้ว 4 คน พรรคไหนไม่อยากปรับครม.ก็ว่ากันไป แต่ล่าสุดพรรคสะตอแดนใต้อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ทางจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ออกมายืนกรานแล้วว่าจะขอปรับครม.แน่นอน และเตรียมประสานกับพล.อ.ประยุทธ์แล้ว ขณะที่พล.อ.ประวิตรกับอนุทินบอกว่าทั้งพรรคพลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทยยังไม่คิดปรับ
จากนี้ก็ต้องตามวัน ว. เวลา น. ในการอ่านคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญชนิดห้ามกระพริบตา ว่าหลังนัดประชุมพิเศษ 8 ก.ย.นี้แล้ว จะนัดลงมติวินิจฉัยคดีเลยหรือไม่ เพราะปล่อยเวลาเนิ่นนานไปก็มีแต่เสียกับเสีย ตอนนี้รัฐมนตรีหลายคนก็เริ่มเกียร์ว่าง ข้าราชการก็เริ่มเดินเล่นกินลมกันแล้ว นักธุรกิจเริ่มชะลอการลงทุน ตลาดหุ้นก็เริ่มซึมรอจังหวะรอดูทิศทาง แถมอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ เปลี่ยนผ่านงบประมาณแผ่นดิน อีก 2 เดือนข้างหน้าก็ต้องเป็นเจ้าภาพจัดประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค รับแขกบ้านแขกเมืองระดับสุดยอดผู้นำโลก หากการเมืองยังไม่นิ่ง นายกฯยังต้องลุ้นว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ มีหวังประเทศชาติหยุดหมุนทุกอย่างหยุดเดิน ประเทศไทยคงมีแต่เจ๊งกับเจ๊ง จะไม่รอดหรือจะไปต่อ ศาลรัฐธรรมนูญต้องลงดาบฟันธงออกมาให้ชัด เพราะพล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้นำรัฐบาลเป็นนายกฯผู้มีอำนาจสูงสุดในการบริหารประเทศ ปล่อยคลุมเครือสุญญากาศนานๆแบบนี้ไม่ดี ข่าวดีที่พอมีอยู่บ้างสำหรับคนดีคนเสียสละอย่างพล.อ.ประยุทธ์ คือล่าสุดมีความเห็นของอาจารย์มีชัยหลุดออกมา เป็นหนังสือชี้แจงที่ส่งถึงประธานศาลรัฐธรรมนูญ กรณีความเห็นเรื่องมาตรา 264 มีอาจารย์มีชัยเขียนไว้ชัดว่า การนับระยะเวลาตาม มาตรา 158 วรรค 4 เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย.2560 เป็นต้นไป ด้วยเหตุนี้พล.อ.ประยุทธ์จึงเป็นนายกฯมาเพียง 5 ปีเศษเท่านั้น ได้อ่านคำชี้แจงขอมีชัยที่เป็นประธานร่างรัฐธรรมนูญแบบนี้พล.อ.ประยุทธ์ก็คงเบาใจได้ขึ้นมาหน่อย อย่างน้อยก็มีหนึ่งความเห็นสำคัญชี้ทางให้ไปต่อ แต่ 9 อรหันต์ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะนิจฉัยออกมาอย่างไรก็ค่อยมาลุ้นกันอีกที แต่ยังดีที่มีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ออกมาให้เห็น
//////////////////////
