"โควิด BA.2.75.2" ไทยพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์ย่อยใหม่เป็นรายแรก ยังไม่ทราบความรุนแรงในการก่อโรค
ข่าวที่น่าสนใจ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ รองประธานกรรมธิการสาธารณสุขวุฒิสภา อัปเดตสถานการณ์โควิด-19 เผย ไทยพบผู้ติดเชื้อ “โควิด BA.2.75.2” รายแรกในประเทศไทย
นับตั้งแต่ประเทศไทยพบไวรัสสายพันธุ์หลักโอมิครอนเป็นรายแรกเมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2564 (ชาวต่างชาติ) ไวรัสโอมิครอนซึ่งมีความสามารถในการแพร่ระบาดเร็วกว่าไวรัสสายพันธุ์เดลต้า จึงใช้เวลาเพียง 3 สัปดาห์ก็ขึ้นมาเป็นสายพันธุ์หลัก แซงเดลต้าสำเร็จ ที่ 66.5 %
เราพบลักษณะของไวรัสโอมิครอนว่า มีการกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ย่อย (Sub-variant) ได้รวดเร็วและหลากหลายมาก ชนิดสายพันธุ์ย่อยสำคัญที่พบในประเทศไทยในช่วงแรก จะเป็น BA.1 แล้วเปลี่ยนเป็น BA.2 ในขณะนี้เป็น BA.5 ตามลำดับ ต้องถือว่า ณ ปัจจุบันในกลางเดือนกันยายน 2565 BA.5 เป็นสายพันธุ์ย่อยที่พบมากถึง 85% และ BA.4 พบรองลงมาที่ 13%
เนื่องด้วย โอมิครอนสายพันธุ์ย่อย มีการกลายพันธุ์อยู่ตลอดเวลานี่เอง จึงทำให้ข้อมูลที่ทันสมัยหรืออัปเดตของชนิดไวรัสที่เกิดขึ้นในโลกและในประเทศไทย จึงมีความสำคัญมากสำหรับหน่วยงานที่รับผิดชอบ ประเทศไทยเราเอง ก็สมควรติดตามเรื่องไวรัสสายพันธุ์ย่อยต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบของไทยก็ได้ทำเรื่องนี้อยู่ในระดับที่ดีทีเดียว
ล่าสุด ศูนย์จีโนมทางการแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ก็ได้ออกมายืนยันตรงกันว่า ประเทศไทยได้พบ ไวรัสโอมิครอนสายพันธุ์ย่อยรุ่นที่ 3 หรือเจนเนอเรชั่นที่ 3 คือ BA.2.75.2 เป็นรายแรกแล้ว หลังจากที่พบได้ในหลายประเทศมาก่อนหน้าแล้วและพบเป็นจำนวนมากที่ประเทศอินเดีย
พบในคนไทยอายุ 73 ปี ตั้งแต่เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2565 โดยไวรัสดังกล่าว กลายพันธุ์มาจาก BA.2.75 ซึ่งกลายพันธุ์มาจาก BA.2 อีกต่อหนึ่ง จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นไวรัสรุ่นที่ 3 หรือเจนเนอเรชั่นที่ 3 ก็ได้
มีลักษณะเด่น คือ
- มีจำนวนตำแหน่งสารพันธุกรรมที่แตกต่างจากไวรัสสายพันธุ์อู่ฮั่นมากถึง 95-100 ตำแหน่ง
- ในทางวิชาการมีการเปรียบเทียบว่ามีความสามารถในการแพร่ (RGA : Relative Growth Advantage) เร็วกว่า BA.5 ราว 90% และ BA.4 ราว 148 %
- โดยตำแหน่งหลักที่สำคัญที่เปลี่ยนแปลง คือ 346 , 486 และ 1199
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่า ไวรัสสายพันธุ์ย่อยดังกล่าวนี้ จะก่อให้เกิดความรุนแรง ทำให้ป่วยหนักและเสียชีวิตมากน้อยเพียงใด จึงยังไม่จำเป็นจะต้องวิตกกังวลเรื่องนี้มากนัก แต่ก็ไม่ควรประมาท เพราะ เมื่อยังไม่ทราบว่ารุนแรงมากหรือน้อย ก็แปลว่าอาจจะรุนแรงน้อย ที่ทำให้สบายใจได้ หรือรุนแรงมากที่ทำให้ต้องเตรียมรับมือด้วยเช่นกัน
ข้อมูล : ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง