สืบเนื่องจากการที่ สำนักงานประชาสัมพันธ์ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ออกเอกสารยืนยัน ผลการประชุมคณะกรรมการคัดเลือกฯ ในคราวเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2565 ว่า การพิจารณาผลประเมินซองข้อเสนอซองที่ 3 ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน ได้ผลสรุป บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) เป็นผู้ยื่นข้อเสนอที่ผ่านการประเมินสูงสุด โดยลำดับถัดไป รฟม. และคณะกรรมการคัดเลือกฯ จะดำเนินการเชิญ ผู้ผ่านการประเมินสูงสุดดังกล่าวมาเจรจาต่อรอง ตามขั้นตอนที่ระบุในเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (RFP) และพระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ. 2562 ต่อไป
ล่าสุด ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบขนส่งทางราง โพสต์แสดงความเห็นผ่านเฟซบุุ๊ก ในประเด็นสำคัญ 6.8 หมื่นล้าน ที่ล่องลอยไป !!!
ระบุใจความ ว่า ช็อกแทบหมดสติ ! ไปตามๆ กัน เมื่อ BTSC แฉให้เห็นชัดๆ ว่าต้องการรับเงินสนับสนุนจาก รฟม. ในการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกแค่ 9.6 พันล้านเท่านั้น ต่ำกว่า BEM ผู้ชนะการประมูลถึง 6.8 หมื่นล้าน น่าเสียดายยิ่งนัก ! ที่เงินก้อนใหญ่ซึ่งเป็นภาษีของพวกเรากำลังจะล่องลอยไป แล้วเราจะปล่อยให้เงินจำนวนมหาศาลหายลับไปกับสายน้ำอย่างนั้นหรือ ? บ้านนี้เมืองนี้ เรายังตามหาความเป็นธรรมในการประมูลเจออีกหรือไม่ ?
1. การประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มมีเกณฑ์เลือกผู้ชนะอย่างไร ?
การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ได้ประกาศเชิญชวนเอกชนให้ร่วมลงทุนก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงตะวันตก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย) และเดินรถตลอดสายทั้งช่วงตะวันตกและตะวันออก (บางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรมฯ-มีนบุรี) เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 แต่ในระหว่างการประมูล รฟม. ได้เปลี่ยนเกณฑ์ประมูล ทำให้บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BTSC ฟ้องขอความเป็นธรรมต่อศาลปกครองกลาง ซึ่งศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาว่า เกณฑ์ประมูลเดิมชอบด้วยกฎหมายแล้ว และการแก้ไขเกณฑ์ประมูลนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่ รฟม. ไม่เห็นด้วย จึงเดินหน้าสู้ด้วยการยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด ยังไม่ทันที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคำสั่งลงมา รฟม. ได้ชิงล้มการประมูลไปก่อน การประมูลที่ถูกล้มไปถือว่าเป็นการประมูลครั้งที่ 1
ต่อมา รฟม. ได้เปิดประมูลใหม่เป็นครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2565 โดยมีเกณฑ์การคัดเลือกผู้ชนะการประมูลเหมือนกับครั้งที่ 1 ดังนี้
(1) ผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องผ่านการพิจารณาข้อเสนอซองที่ 1 (ข้อเสนอด้านคุณสมบัติ) ซึ่ง รฟม. ได้ปรับแก้คุณสมบัติของผู้ยื่นข้อเสนอที่ประกอบด้วยผู้เดินรถไฟฟ้าและผู้รับเหมา โดยได้ปรับแก้คุณสมบัติของผู้เดินรถไฟฟ้าให้ผ่านเกณฑ์ง่ายขึ้นกว่าการประมูลครั้งที่ 1 แต่ได้ปรับแก้คุณสมบัติของผู้รับเหมาให้ผ่านเกณฑ์ยากขึ้น
(2) ผู้ยื่นข้อเสนอจะต้องผ่านการพิจารณาข้อเสนอซองที่ 2 (ข้อเสนอด้านเทคนิค) ซึ่ง รฟม. ได้เพิ่มคะแนนผ่านข้อเสนอด้านเทคนิคให้สูงขึ้นกว่าการประมูลครั้งที่ 1
(3) ผู้ยื่นข้อเสนอที่ผ่านการพิจารณาข้อเสนอซองที่ 1 และซองที่ 2 จะต้องมาแข่งกันที่ข้อเสนอซองที่ 3 (ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน) ใครเสนอผลประโยชน์สุทธิ (เงินตอบแทนให้ รฟม. หักด้วยเงินที่ขอรับสนับสนุนค่าก่อสร้างจาก รฟม.) คิดเป็นมูลค่าในปัจจุบันสูงที่สุด จะเป็นผู้ชนะการประมูล
จึงเห็นได้ชัดว่า รฟม. มีเกณฑ์การคัดเลือกผู้ชนะการประมูลโดยจะต้องพิจารณาจากผลประโยชน์สุทธิที่ รฟม. ได้รับ ไม่มีปัจจัยอื่นมาเจือปน ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับที่ รฟม. ได้ใช้ในการประมูลโครงการอื่นที่ผ่านมา
2. ใครชนะการประมูล ?
รฟม. เปิดซองข้อเสนอซองที่ 3 (ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน) ของเอกชน 2 ราย ซึ่งเป็นเอกชนที่ผมได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าได้อย่างถูกต้องว่าจะมีเพียงเอกชน 2 รายนี้เท่านั้นที่จะยื่นประมูล ส่วน BTSC ซึ่งเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวจะไม่สามารถยื่นประมูลได้ แต่ รฟม. ได้ชี้แจงว่าการประมูลครั้งที่ 2 รฟม. ได้เปิดกว้างให้เอกชนจำนวนมากรายสามารถเข้าร่วมประมูลได้ ในกรณีที่ยื่นข้อเสนอเป็นกลุ่มนิติบุคคล จะมีผู้นำกลุ่มนิติบุคคลไทยอย่างน้อย 4-5 ราย และต่างชาติอีกจำนวนมาก แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไร ? มีผู้ยื่นข้อเสนอแค่ 2 รายเท่านั้น ! อีกทั้ง 1 ใน 2 รายที่ยื่นข้อเสนอยังมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติที่ไม่น่าจะผ่านการพิจารณาข้อเสนอด้านคุณสมบัติ แต่ รฟม. ก็ให้ผ่านมาแล้ว
ผลการเปิดซองข้อเสนอซองที่ 3 (ข้อเสนอด้านการลงทุนและผลตอบแทน) มีดังนี้
(1) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เสนอผลประโยชน์สุทธิให้ รฟม. ติดลบ 78,287.95 ล้านบาท นั่นหมายความว่า BEM เสนอผลตอบแทนให้ รฟม. น้อยกว่าเงินที่ขอรับสนับสนุนค่าก่อสร้างจาก รฟม. ทำให้ รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ BEM จำนวน 78,287.95 ล้านบาท
(2) ITD Group ซึ่งประกอบด้วย ITD และ Incheon Transit Corporation หรือ ITC ผู้เดินรถไฟฟ้าจากเกาหลี เสนอผลประโยชน์สุทธิให้ รฟม. ติดลบ 102,635.66 ล้านบาท นั่นหมายความว่า รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ ITD Group จำนวน 102,635.66 ล้านบาท
จากผลประโยชน์สุทธิดังกล่าวส่งผลให้ BEM เป็นผู้ชนะการประมูล เนื่องจากเสนอผลประโยชน์สุทธิให้ รฟม. มากกว่า ITD Group หรือ รฟม. จะต้องให้เงินสนับสนุนแก่ BEM น้อยกว่าให้ ITD Group นั่นเอง