เปิดโปง “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” รูปแบบใหม่ อ้างเป็นหน่วยงานราชการ หลอกกดลิงค์ดูดเงินเหยื่อเกลี้ยง

ผบช.สอท. เปิดโปง "แก๊งคอลเซ็นเตอร์" รูปแบบใหม่ อ้างเหยื่อเป็นหน่วยงานราชการ หลอกกดลิงค์ดูดเงินเกลี้ยง พร้อมย้ำเตือนประชาชนควรมีสติ

จากกรณีทีแก๊งค์คอลเซ็นเตอร์กลับมาอาละวาดหนักอ้างเป็นกรมสรรพากร หรือหน่วยงานต่างๆ หลอกให้เหยื่อดาวน์โหลดแอปฯและกดลิงค์ ก่อนจะถูกดูดเงินในบัญชีออกจนหมด

ล่าสุดวันที่ 21 ก.ย. 65 ทีมข่าว Top News ได้สัมภาษณ์ พลตำรวจโทกรไชย คล้ายคลึง ผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ถึงวิธีการดูดเงินออกจากบัญชีของพวกแก๊งมิจฉาชีพเหล่านี้ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

โดย พล.ต.ท.กรไชย เปิดเผยว่า จากกรณีดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับประชาชนนั้น ในตามหลักความเป็นจริงแล้วไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย หากไม่กดเข้าไปในลิงค์และกรอกข้อมูลหรือส่งข้อมูล ตามที่แก๊งมิจฉาชีพหลอกให้ทำตามขั้นตอน ซึ่งกรณีแบบนี้เคยมีเกิดขึ้นมาแล้วในคดีบัตรเครดิต มูลค่าความเสียหายหลักพันล้าน ส่วนใหญ่ผู้เสียหายจะถูกหลอกโดยการคลิกลิงค์ที่เข้าไปสู่เว็บไซต์เว็บนึง และถูกควบคุมโดยแก๊งมิจฉาชีพที่ใช้โปรแกรมควบคุมจากระยะไกล ระหว่างที่ผู้เสียหายกดลิงค์เข้าไปแล้วมิจฉาชีพก็จะทำการพูดจาหว่านล้อมและล่อลวงให้กรอกข้อมูลต่างๆลงไป อาทิเช่น ข้อมูลที่อยู่อาศัย, เลขหลัก 13 ตัวของบัตรประชาชน, เลขหลังบัตรเอทีเอ็ม และรหัส OTP ที่เป็นข้อความเด้งกลับมา หรือพวกมิจฉาชีพบอกรหัส ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากรหัสของผู้เสียหายมาเป็นของแก๊งมิจฉาชีพ เมื่อมีข้อมูลที่เพียงพอสำหรับ Hacking มือถือได้ รหัส E-Banking ที่มีข้อมูลอยู่ในนั้นก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับแก๊งมิจฉาชีพ ซึ่งจากการสอบปากคำผู้เสียหายทั้งหมด ทำให้รู้ว่า ผู้เสียหายนั้นหลงเชื่อและได้มีการกรอกข้อมูลตามขั้นตอนที่พวกแก๊งมิจฉาชีพบอกให้ทำจริง

หลังจากแก๊งมิจฉาชีพได้เงิน ก็จะทำการโอนเงินเข้าสู่บัญชีม้าและกดเงินออกตามตู้เอทีเอ็มตามตะเข็บชายแดน หรือ นำเงินไปซื้อหุ้นในตลาด Crypto หรือตลาดหลักทรัพย์ ให้เปลี่ยนจากเงินสดมาเป็นหุ้นยากต่อการติดตาม แต่ก็ไม่เกินความสามารถตำรวจ ซึ่งได้ประสานทำงานร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ที่อาจมีบางบริษัทจดขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้อง ทำให้ง่ายต่อการติดตามว่า ปลายทางของเงินไปอยู่ที่ใด

โดยวิธีการเหล่านี้เป็นขั้นตอนของพวกมิจฉาชีพ ที่มีหลักอยู่ 3 ข้อ คือ ขู่ให้กลัว, ทำให้โลภ และหลอกให้รัก Romance scam ไปสู่การลงทุนที่สูงขึ้น Hybrid scram สิ่งที่จะต้องระมัดระวังในโลกไซเบอร์ก็คือ “สติ” หากสงสัยจะต้องทำการเช็คกับทางหน่วยงานเสียก่อน ซึ่งไม่มีหน่วยงานราชการไหนให้ทำเรื่องธุรกรรมผ่านทางการกดลิงค์

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ส่วนกรณีที่พวกแก๊งมิจฉาชีพรู้ความเคลื่อนไหวว่า ประชาชนคนไหนกำลังทำธุรกรรมกับหน่วยงานใด และทราบชื่อนามสกุลรู้เลขที่บัตรประชาชน ซึ่งในความเป็นจริงสามารถเป็นไปได้หมด ข้อมูลที่ทางประชาชนเคยกรอกไว้ตามบริษัทเอกชนต่างๆ ในคำว่าขายข้อมูล เชื่อว่าปัจจุบันยังคงมีอยู่จริง มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับบริษัทนั้นๆจะมีวิธีป้องกันอย่างไร แต่อยากให้ประชาชนเชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้ ไม่สามารถล้วงไปถึง E-Banking ได้ เปรียบเสมือนกับการถูกแฮกข้อมูลคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งของพวกแก๊งมิจฉาชีพ นำไปสู่การหลอกลวงประชาชน

ส่วนวิธีป้องกันแก๊งมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ พล.ต.ท.กรไชย กล่าวว่า ขณะนี้ทางตำรวจได้ประสานงานกับทางสมาคมธนาคารไทย ที่มีการทำ MOU ในเรื่องของการอายัดเงินบัญชีม้า ธนาคารเป็นส่วนหนึ่งของอาชญากรรมทางด้านนี้ เพราะมีการโอนบัญชีหนึ่งไปอีกบัญชีหนึ่งหลายครั้ง ผ่าน E-Banking จึงได้มีการประชุมวางแผนกันว่าหลังจากนี้จะให้ประชาชนนั้นสามารถ 1 เบอร์โทรศัพท์สามารถมี E-Banking ได้แค่ธนาคารเดียว เป็นการป้องกันไม่ให้แก๊งมิจฉาชีพโอนเงินออกไปได้อย่างรวดเร็ว หาก 1 เบอร์โทรศัพท์สามารถมี E-Banking ได้หลายธนาคาร การถูกแก๊งมิจฉาชีพแฮกโทรศัพท์ ก็สามารถดูดเงินออกไปได้ทั้งหมดในเวลาเดียวกัน หากจำกัด E-Banking ได้และมีผู้เสียหายแจ้งความมา เราก็จะมีระบบอายัดเงินแบบออโต้ระงับเงินออกได้ทันท่วงที แต่บางครั้งก็เข้าใจผู้ที่ต้องการจะทำธุรกรรม ผ่านทางโทรศัพท์ 1 เครื่อง หลายธนาคารด้วยเช่นกัน จึงได้มีการเสนอสมาคมธนาคารไทย ปรับให้ประชาชนได้มีการยืนยันระบุตัวตนทุกๆ 6 เดือน เพื่อเป็นการยืนยันตัวตนว่า E-Banking รายนี้ยังมีการใช้งานและมีบุคคลตัวตนใช้อยู่จริง ซึ่งที่ผ่านมามูลค่าความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น พบว่ามีความเสียหายประมาณ 4-5 พันล้านบาท แต่สามารถอายัดยึดเงินเหล่านั้นมาได้แค่เพียง 1-2 ร้อยล้านบาท นี่คือสิ่งหนึ่งที่อยากให้ทางธนาคารนั้นร่วมมือกับทางตำรวจ

ส่วนบริษัทเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ต่างๆ และ กสทช. ได้มีการพูดคุยในเรื่องการจำกัดเบอร์ ให้บุคคล 1 คนสามารถเปิดเบอร์โทรศัพท์ได้เพียง 5 เบอร์ ซึ่งในปัจจุบัน 1 บุคคล สามารถจดทะเบียนขอเบอร์โทรศัพท์ได้เป็นพันเบอร์ ซึ่งเป็นการเอื้อให้กับแก๊งมิจฉาชีพ การจำกัดเหล่านี้สามารถลดการเกิดเหตุให้น้อยลงได้มาก ที่ผ่านมา ทาง กสทช.ได้ระบุเลขเบอร์โทรให้มีความต่างจากเบอร์โทรศัพท์ทั่วไปที่ใช้อยู่ภายใยประเทศ เช่น สัญญาลักษณ์บวก และตามด้วยหมายเลขเกินสิบหลัก

 

 

พล.ต.ท.กรไชย กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาจากการจับกุมและสามารถยึดเครื่อง IP-PBX หรือ (Internet Protocol-Private Branch Exchange ซึ่งเป็นเครื่องขยายสัญญาณและโทรศัพท์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต สามารถเชื่อมต่อกันผ่านทางระบบเครือข่ายหรือ IP เครื่อง IP-PBX ใน 1 ซิม โทรได้ 500 ครั้ง, 1 เครื่องมี 32 พอต (ช่องใส่ซิม), 1 วันโทรได้ 16,000 ครั้ง ซึ่งไม่แปลกใจเลยที่ว่า คนไทยจะโดนหลอกหลายคนและสร้างความเสียหายได้หลายพันล้านบาท

ทั้งนี้วิธีการป้องกันที่ดีที่สุดคือ การให้ ไซเบอร์วัคซีนกับประชาชน ก็คือการประชาสัมพันธ์ข้อมูลผ่านทางช่องทางต่างๆ เตือนอย่างให้หลงเชื่อ หากผู้ใดตกเป็นผู้เสียหาย สามารถติดต่อสายด่วนมาได้ที่เบอร์ 1441 หรือ 081-866-3000 และสามารถแจ้งความผ่านทางออนไลน์ได้ที่ www.thaipolice online.com หรือ สะดวกเดินทางเข้าแจ้งความกับสถานีตำรวจนครบาลใกล้บ้านคุณ

 

 

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

"ก.แรงงาน" เตรียมเปิดขึ้นทะเบียน "แรงงานต่างด้าว" รอบใหม่
เจาะ "MOU44" พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย-กัมพูชา "เกาะกูด" เป็นของใคร
"สมชัย" เผยเคยทำงานร่วม "กิตติรัตน์" ยอมรับเป็นคนเก่ง แต่เพราะเคยตามใจฝ่ายการเมืองทำประเทศชาติเสียหาย
ระทึก "รถทัวร์กรุงเทพฯ-เชียงแสน" ชน "รถพ่วง" พลิกคว่ำตกข้างทาง ผู้โดยสารบาดเจ็บอื้อ
"ศิริกัญญา" ปูดข่าว รบ.วางแผนยึดการบินไทย ส่ง 2 ผู้บริหารฟื้นฟู
โมเดลใหม่...ประมงสมุทรสงครามเปิดตัวกิจกรรม “สิบหยิบหนึ่ง” ปราบปลาหมอคางดำ จับมือเกษตรกรร่วมแก้ปัญหาในบ่อเลี้ยงเกษตรกรและแหล่งน้ำธรรมชาติ
"กองปราบฯ" รับโอนคดี "ซินแสชื่อดัง" หลอกผู้เสียหายสูญเงิน 66 ล้าน
กรมทรัพยากรน้ำบาดาล เขต 6 (ตรัง) ศึกษาดูงานด้านการพัฒนาแหล่งน้ำบาดาล
"นครราชสีมา" เสี่ยงภัยแล้ง 10 อำเภอ ชลประทานประกาศงดทำนาปรังทั้งจังหวัด
"อัจฉริยะ" แจงผลสอบ "อาหารเสริม Eighteen 18" พบมีเลข อย.ถูกต้อง

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น