วันที่ 24 ก.ย. 65 พรรคประชาธิปัตย์ จัดงานใหญ่ “รวมพลัง สุราษฎร์ ประชาธิปัตย์ ยกทีม” ขึ้นที่ โรงแรมบรรจงบุรี อ.เมือง จ.สุราษฎร์ธานี นำโดย นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค นายเดชอิศม์ ขาวทอง รองหัวหน้าพรรค ดูแลภาคใต้ นายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค อดีต รมช.มหาดไทย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ดร.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ นายชัยชนะ เดชเดโช รองเลขาธิการพรรค นายนริศ ขำนุรักษ์ ส.ส.จังหวัดพัทลุง นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรค นายธีระชาติ ปางวิรุฬห์รักษ์ อดีต ส.ส. จังหวัดชุมพร นายธนา ชีรวินิจ อดีตโฆษกพรรค พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขตหลักสี่ พร้อมด้วย 5 ส.ส.จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. จังหวัดสุราษฎร์ธานี ทั้ง 7 เขต 7 คน ประกอบด้วย นายภาณุ ศรีบุษยกาญจน์ นายวิวรรธน์ นิลวัชรมณี น.ส. วชิราภรณ์ กาญจนะ นายสินิตย์ เลิศไกร นายสมชาติ ประดิษฐ์พร นายธีรภัทร พริ้งศุลกะ โดยบรรยากาศของงานเป็นไปด้วยความอบอุ่น สนิทสนม คุ้นเคย มีแกนนำในพื้นที่ พร้อมด้วยสาขาพรรค สมาชิกพรรค และพี่น้องประชาชนมาร่วมงานอย่างหนาแน่น
โดยหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นกล่าวปราศรัยว่า ขอบคุณการต้อนรับที่อบอุ่นอย่างยิ่งในวันนี้ วันนี้ประชาธิปัตย์ยกทัพมาที่สุราษฎร์ธานีบ้านเรา โดยวานนี้ (23 ก.ย.) ตนได้ไปเยี่ยมเยียนพี่น้องประชาชนที่ตลาดศาลเจ้า กับนายภานุ ศรีบุศยกาญจน์ ได้รับเสียงตอบรับดีมาก ร่วมถ่ายรูปตั้งแต่หัวถนนไปถึงท้ายถนนทำให้รู้ว่าเที่ยวหน้าภาณุ นับหนึ่งได้เลยสำหรับสุราษฎร์ธานี จากนั้นไปเยี่ยมพี่น้องชาวไหหลำที่สมาคมไหหลำ บ้านดอน ก็ได้รับการต้อนรับอบอุ่นจากกรรมการศาลเจ้าและกรรมการสมาคม สาเหตุที่ต้องไปเยี่ยมเป็นเพราะพี่น้องชาวไหหลำสุราษฎร์เรียกร้อง เพราะหัวหน้าพรรค หรือตนเองนั้นก็เป็นคนไหหลำเหมือนกันและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 6 นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ก็เป็นคนไหหลำเช่นกัน เพราะฉะนั้นพวกเรามีแวดวง คนไทยเชื้อสายจีนมากมายที่เป็นเครือข่ายสมัครพรรคพวก และทั้งหมดก็ได้ช่วยกันสนับสนุนพวกเราในทางการเมืองให้เติบโต โตมาจนถึงทุกวันนี้
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในช่วงนี้ ต้องยอมรับความจริงว่ากำลังเข้มข้นขึ้นทุกวันโดยเฉพาะอย่างยิ่งอีก 6 วัน ที่จะเกิดเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองขึ้น กล่าวคือศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยสถานภาพของนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าดำรงตำแหน่งนายกฯ มาครบ 8 ปีแล้วหรือไม่ แต่ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยไปในทางไหน ตนก็มั่นใจว่าการเมืองไทยยังมีทางออกเสมอ และไม่มีทางตันสำหรับการเมืองไทยจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เพราะถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า พลเอกประยุทธ์ยังเป็นนายกไม่ครบ 8 ปี การเมืองก็เดินหน้าต่อ รัฐบาลก็เดินหน้าก็บริหารราชการแผ่นดินต่อไป แต่ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่านายกประยุทธ์ถือว่าครบ 8 ปีแล้ว ตั้งแต่วันที่ 24 สิงหาคมที่ผ่านมา สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นก็คือทุกคนต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ นั่นคือรัฐบาล ครม. ทั้งคณะต้องนับ 1 ในการที่จะต้องหาตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ รัฐสภาก็ต้องหาตัวนายกคนใหม่ โดยเริ่มต้นจากชื่อนายกในบัญชีรายชื่อที่ค้างอยู่มาพิจารณาก่อน ถ้าพิจารณาแล้วยังไม่ได้ตัวนายกฯ รัฐธรรมนูญก็ยังเขียนว่าให้เอาคนนอกบัญชีมาได้ แต่ก็ต้องว่าไปตามกระบวนการขั้นตอนจนกว่าได้ตัวนายกรัฐมนตรีคนใหม่ และได้รัฐบาลชุดใหม่ มาบริหารราชการแผ่นดินต่อไป แต่รัฐบาลชุดใหม่จะมีอายุเท่ารัฐบาลชุดเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 คือมีอายุอีกครึ่งปีโดยประมาณ
นอกจากนี้ วันนี้ยังเป็นวันที่สำคัญอีกวัน เพราะเป็นวันที่เริ่มนับหนึ่งของการเลือกตั้ง ซึ่งจากการเลือกตั้งเมื่อ 24 มี.ค.62 ได้ก้าวเข้าถึงจุดที่เรียกว่าครบ 3 ปีครึ่ง เหลืออีก 180 วัน หรือ 6 เดือน ก็จะครบวาระ 4 ปี ดังนั้นวันนี้จึงเป็นวันที่นับหนึ่งในการก้าวเข้าสู่ 180 วันก่อนที่รัฐบาลจะครบเทอม ซึ่งทุกพรรคการเมือง ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกคนจะต้องปฏิบัติตามคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และตอนนี้ กกต. ก็เริ่มกำหนดกติกาให้พรรคการเมืองจะต้องทำอันนี้อันนั้น เหมือนกับสถานการณ์เลือกตั้งทุกประการ ดังนั้นทุกพรรคการเมืองก็มีหน้าที่ต้องเดินตามไปตามนั้น ผู้ที่จะเป็นผู้แทน หรือยังเป็นผู้แทนอยู่ ก็ต้องเดินหน้าไปตามนั้น ไม่มีใครไปฝืนได้ และหากฝ่าฝืนก็จะผิดกฎหมายซึ่งจะเป็นปัญหากับตัวเองและพรรคการเมืองที่สังกัด สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ตนได้ประกาศไปแล้วว่า ประชาธิปัตย์จะต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ประชาธิปัตย์ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่มีทางที่จะเป็นอย่างอื่น กกต. บอกอะไร ประชาธิปัตย์ก็ต้องทำอย่างนั้น