“สนธิญาณ” ชี้ถึงเวลาสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องมีบทบาททางการเมือง

“สนธิญาณ” ชี้ถึงเวลาสถาบันพระมหากษัตริย์ต้องมีบทบาททางการเมือง เผยเราติดกับดักมรดกบาป คือรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่ฉบับแรกที่กันพระมหากษัตริย์ออกจากประชาชน และเขียนสืบทอดกันมา เราต้องกล้าออกจากกรอบ เพิ่มพระราชอำนาจ เปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นแบบของเรา ศึกษาบทเรียนจากจีน รัสเซีย ที่สามารถสร้างความเข้มแข็งและต่อเนื่องได้

วันที่ 3 ตุลาคม 2565 นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ประธานสถาบันทิศทางไทย กล่าวในรายการชัดครบจบจริง เมื่อวันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม ประเด็นถึงเวลาที่สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องมีบทบาททางการเมือง โดยระบุว่า ตนอยากพูดให้ชัดในการวินิจฉัยสถานะของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพราะการดำรงตำแหน่งหรือขึ้นสู่อำนาจของพล.อ.ประยุทธ์ เป็นช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแผ่นดิน จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 มาสู่รัชกาลที่ 10 ช่วงรอยต่อแผ่นดินมักจะมีสิ่งเปราะบางเสมอ นั่นคือในอดีต แต่ปัจจุบันนี้ก็มีจุดเปราะบาง มาจากระบอบทักษิณ ที่นายทักษิณ ชินวัตร สร้างขึ้น สร้างเครือข่ายทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือน โครงข่ายที่สำคัญคือโครงข่ายธุรกิจ ที่ไปเชื่อมโยงกับทุนข้ามชาติ และจัดการสร้างมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์จากสัมปทาน อันตราย จนทักษิณคิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ กล้าท้าทายสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง เช่นที่เคยพูดว่า ” ถ้าพระเจ้าอยุู่หัวอยากให้ผมลาออก กระซิบข้างหูผม ผมก็ออกแล้ว” ทักษิณ เป็นใครที่บอกว่าให้พระเจ้าอยู่หัวมากระซิบข้างหู

 

นายสนธิญาณ กล่าวต่อว่า จากการรัฐประหาร พ.ศ. 2549 แม้ผู้นำคือพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่ผู้คุมอำนาจแท้จริงคือพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา กับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา การสืบทอดอำนาจที่พูดกันมีอยู่จริง โดย สนช.แก้กฎหมายเรื่องการโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล โดยไม่ให้นักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งสามารถพูดได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.อนุพงษ์ วางโครงข่ายการสืบทอดอำนาจผ่านกองทัพ การเลือกตั้งเมื่อพ.ศ.2550 นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกฯ พยายามจะแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการทหาร แต่ก็ย้ายไม่ได้ ปี 2554 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกฯ ก็แตะไม่ได้ เพราะอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายอยู่ที่ข้าราชการประจำ คือผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพ คือทหารบก ,ทหารเรือ ,ทหารอากาศ ปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการทหารสูงสุด นี่คือการวางโครงข่ายของกองทัพ สาเหตุที่นายทักษิณ ต้องการล้มพล.อ.ประยุทธ์ ให้ได้ เพราะ 8 ปีที่ผ่านมา อยู่ในอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์เต็ม ๆ นายทักษิณไม่มีสิทธิโงหัวขึ้นเลย และในที่สุดนายทักษิณ ก็หมดอำนาจลง เพราะ 3 ป.

นายสนธิญาณ กล่าวว่า ก่อนหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 เป็นเวลา 150 ปีที่เราอยู่ภายใต้พระบรมเดชานุภาพของราชวงศ์จักรี ประเทศผ่านวิกฤต ผ่านการล่าเมืองขึ้น การดำรงอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่นำพาประเทศมา จนถึงการเปลี่ยนแผ่นดิน สิ่งแรก พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อยู่ที่สองฐาน คือความมั่นคงทางด้านการเงินการคลัง กับความมั่นคงทางด้านการทหาร พระมหากษัตริย์ทรงเป็นจอมทัพ ดูแลการค้าขายด้วยตนเอง เมื่อมีการเปลี่ยนแผ่นดิน สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ ทำคือการแก้ไขกฎหมายให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ เป็นสำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ หมายความว่าพล.อ.ประยุทธ์ ได้คืนความเป็นธรรมให้ราชวงศ์จักรี จากการที่คณะราษฎรยึดเอาแม้แต่พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์พระบรมวงศานุวงศ์ และพระมหากษัตริย์มาไว้ในอำนาจของตัวเอง และสอง กองบัญชาการที่ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ กองทัพได้ถูกจัดให้มั่นคงขึ้น ไม่ให้นักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดมาจาก 3 ป.และพล.อ.ประยุทธ์

 

ข่าวที่น่าสนใจ

นายสนธิญาณ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 สิ่งที่คณะราษฎร ทิ้งไว้เป็นมรดกบาป คือระบบคิดของคณะราษฎร ผู้ที่เปลี่ยนแปลงการปกครองไม่เคยเข้าใจความหมายของประชาธิปไตย และการสร้างความเจริญให้กับประเทศชาติ เวลา 25 ปีที่คณะราษฎร ปกครองประเทศ มีการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว คือปีพ.ศ. 2489 ที่เป็นประชาธิปไตย มีนายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้นอำนาจก็อยู่ในมือจอมพลป. พิบูลสงคราม พระยาพหลพลพยุหเสนา พวกนี้ขีดเส้น กันพระมหากษัตริย์ที่เคยผูกพันกับประชาชนให้แยกออกจากกันด้วยรัฐธรรมนูญ ตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวฉบับแรก จนถึงรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่เขียนสืบต่อกันมา ในหมวดทั่วไป และ หมวดพระมหากษัตริย์ ว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข และ องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ หลังจากนั้น คณะรัฐประหาร นำโดยกองทัพ ผู้แทนราษฎร พรรคการเมือง ติดกรอบนี้ เราถูกมายาคติของคำว่าประชาธิปไตย แบบที่คณะราษฎรสร้างขึ้น ครอบงำ

นายสนธิญาณ กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งปี 2562 เกิดซาตานคณะใหม่เกิดขึ้น คือพรรคอนาคตใหม่ ที่มีนาย ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นหัวหน้าพรรค นายธนาธร ได้ทำหนังสือ “Portrait ธนาธร” มีข้อความตอนหนึ่ง ว่า “ตำแหน่งนายกฯ ไม่ใช่เป้าหมายสูงสุด เป้าหมายสูงสุดคือการเปลี่ยนประเทศ และต่อรอง….” ซึ่งหมายถึงพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม เพราะในหน้าอื่น ๆ ขยายความต่อไปว่า ประเทศนี้ทำอะไรไม่ได้ เพราะติดกองทัพและศาล นี่คือระบบคิดของธนาธร ไปสู่พรรคอนาคตใหม่ และสืบทอดไปยังพรรคก้าวไกล คนในยุคสมัยเราไม่มีใครเชื่อว่าจะได้ยินคนพวกนี้อภิปรายกระทบกระทั่ง เหน็บแหนมสถาบันพระมหากษัตริย์ในสภา อภิปรายตัดงบสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างวาทกรรม เชื่อมโยงงานวิชาการ บิดเบือนให้ร้ายสถาบัน ว่าเป็นต้นเหตุ ต้นตอปัญหาของประเทศ ทั้ง ๆ ที่ปัญหาต้นเหตุของประเทศมาจากทุนข้ามชาติที่ครอบงำโลกไปทั้งโลก ทุนสามานย์พวกนี้ เป็นสิ่งที่ธนาธรชื่นชอบ ฟังพวกนี้พูดคล้ายจะเป็นฝ่ายก้าวหน้า แต่ไม่จริง พวกนี้สมคบกับทุนสามานย์ ชื่นชมสหรัฐฯ

“หลังจากศาลรธน.วินิจฉัย ไปดูว่า ธนาธร โพสต์อย่างไร พรรคก้าวไกล โพสต์อะไร ดังนั้น ชนชั้นนำ อนุรักษ์นิยม เครือข่ายภาคประชาชน ต้องผนึกกำลัง สร้างเครือข่ายขึ้น คุณอยากเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่อีกจุดหนึ่ง ผมก็ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศไปสู่อีกจุดนึง การเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเหมือนกัน แต่ไม่เอารัฐธรรมนูญแบบมรดกบาป จะต้องเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้น เพื่อให้สถาบันพระมหากษัตริย์มามีบทบาททางการเมือง เพื่อถ่วงดุลระบบเลวร้าย ถ่วงดุลทหารที่เคยรัฐประหาร และกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง ถ่วงดุลนักการเมืองทั้งหลาย ที่สร้างความเลวร้าย ทุจริตคอรัปชั่น ทำลายบ้านเมือง โดยระบบนั้นต้องทำให้ประเทศชาติต่อเนื่อง ยั่งยืนและประชาชนจับต้องความเจริญและความผาสุกได้”นายสนธิญาณ กล่าว

 

นายสนธิญาณ กล่าวว่า ประชาธิปไตยแบบตะวันตก ทำลาย หยุดยั้งความเจริญของประเทศเรา ประเทศเราเจริญสูงสุดก็ในช่วงที่พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ มีเงินคงคลังสูงสุด ทั้ง ๆ ที่ประเทศอยู่ในวิกฤติมา 2 ปี โลกตะวันตกซึ่งปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย กำลังเดินสู่หายนะหมด ส่วนประเทศที่กำลังเข้มแข็งคือสาธารณรัฐประชาชนจีน และรัสเซีย ต้องไปดูว่าทั้งสองประเทศทำอย่างไรให้มีฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง และเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดมาจากความต่อเนื่องในการบริหารประเทศ

“น่าเสียใจที่วันนี้ไม่มีใครกล้าออกมาพูดเรื่องนี้ ทุกคนติดกับกรอบของคำว่าประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เมื่อประชาธิปไตย แล้วมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ต้องให้พระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจมากกว่านี้ ผมก็จะดูน้ำหน้านักการเมืองว่าจะมีใครกล้า เราจะไม่ลงท้องถนน เพราะถ้าลงอีกทีนั่นคือการเปลี่ยนแปลงประเทศขนาดใหญ่ อีกฝั่งหนึ่งต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นแบบที่เขาต้องการ ผมและเครือข่ายนักวิชาการ พวกพ้องพันธมิตร ก็คิดจะเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นแบบประเทศเรา โดยศึกษาบทเรียนจากจีน รัสเซีย ซาอุดิอารเบีย และประเทศอื่น ๆ ที่สามารถสร้างความเข้มแข็งและต่อเนื่องมาได้ เพื่อความสุขของประชาชน” นายสนธิญาณ กล่าว

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

ครูบาอริยชาติ เกจิภาคเหนือวัดแสงแก้วโพธิญาณ เชียงราย สร้างพระพุทธเมตตา จากหยกรัสเซียใหญ่ที่สุดในโลก น้ำหนักกว่า 10 ตัน
นายกฯ-สามี พา "น้องธิธาร" ลูกสาว วิ่งเล่นสนามหญ้าหน้าตึกไทยคู่ฟ้า
กระทรวงดีอี – ดีป้า เปิดศึกบิน – ซ่อมโดรนเกษตรชิงแชมป์ประเทศไทย ในรายการ “Thailand Agriculture Drone Competition 2024”
รพ.อาภากรเกียรติวงศ์ฯ นำ จนท.ตรวจสารเสพติดทหารใหม่ 2,911 นาย เพื่อค้นหาผู้เสพยาเสพติดเข้าสู่กระบวนการบำบัดรักษา
รถบรรทุกปูนพลิกคว่ำขวางถนนรถติดยาวหลายกิโล
รองนายกรัฐมนตรีลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำภาคอีสาน คุมเข้มแผนบริหารจัดการน้ำ พร้อมเร่งขับเคลื่อนมาตรการแก้ปัญหาภัยแล้ง
เลือกตั้งสหรัฐ: ทั้งสองพรรคมั่นใจว่าจะชนะเลือกตั้ง
แคปซูลส่งกลับ 'เสินโจว-18' ของจีนแตะพื้นโลกปลอดภัย
ผู้เสียหายรวมตัวแจ้งความ "หมอดูฮวงจุ้ยชื่อดัง" เอาผิดฐานฉ้อโกง หลังหลอกให้สั่งซื้อวัตถุมงคลแพงลิ่ว
แวะปั๊มก่อนเลย พรุ่งนี้น้ำมันขึ้นราคา เบนซิน-แก๊สโซฮอล์ ปรับทุกชนิด

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น