พ้น 38 วันหลังถูกพักเบรกปฏิบัติหน้าที่นายกฯจากศาลรัฐธรรมนูญหลังรับคำร้องส.ส.ฝ่ายค้าน 171 คนตีความวาระ 8 ปี ล่าสุดอย่างที่ทราบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก ลงมติ 6 ต่อ 3 ให้ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯยังไม่สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีได้ไปต่อทางการเมือง โดยนับวันเริ่มต้นในการเป็นนายกฯตั้งแต่รัฐธรรมนูญปัจจุบันประกาศใช้ คือ 6 เม.ย.2560 เพราะฉะนั้นพล.อ.ประยุทธ์เป็นนายกฯมาแล้ว ประมาณ 5 ปีเศษ เพราะฉะนั้นยังเหลือเวลาเป็นสร.1 ได้อีกราว 2 ปีเศษ ถ้าอยู่จนครบวาระสภาผู้แทนราษฏรในวันที่ 23 มี.ค.2566 ก็จะเหลือวาระอีก 2 ปีพอดิบพอดี แต่ถ้าบิ๊กตู่เกิดยุบสภาไปก่อนเวลาที่เหลือก็เอามาบวกกับ 2 ปีได้ เพราะช่วงเป็นรักษาการนายกฯ รัฐธรรมนูญเขาไม่เวลาเอามาบวกในช่วง 8 ปี เพราะฉะนั้นยังมีเวลาให้บิ๊กตู่คิดอ่านอีกเยอะว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตในวันข้างหน้า
หลังหลุดบ่วง 8 ปีจากศาล พล.อ.ประยุทธ์วางคิวทำงานแน้นเอี๊ยด เพราะชาวบ้านหลายจังหวัดกำลังเดือดร้อนเพราะถูกน้ำท่วม จะมัวมาดีใจที่ได้ไปต่อก็ใช่เรื่อง เปิดหัวมาต้นสัปดาห์ภารกิจแรกก็บุกไปกระทรวงมหาดไทย คลองหลอดนั่งหัวโต๊ะเป็นประธานประชุมการบริหารจัดการสถานการณ์อุทกภัย และให้ความช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม เปิดหน้าคุยกับผู้ว่าฯ 76 จังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เร้น จี้ผู้ว่าฯทุกจังหวัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ถูกน้ำท่วมได้รับผลกระทบจากพายุโนรู จากนั้นพรุ่งนี้เช้าวันอังคารที่ 4 ต.ค.2565 ก็สั่งเลื่อนประชุมครม.ไปวันพุธ เพราะเตรียมหอบคณะใหญ่บินลงพื้นที่น้ำท่วมไปดูการช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่อีสาน เช้าไปจ.ขอนแก่น บ่ายลงจ.อุบลราชธานี เรียกว่าทำงานเต็มที่ให้สมกับที่ถูกเบรกถูกศาลแช่ช่องฟีดไปก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตามควันหลงผลคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ 30 ก.ย.ที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเรื่องรอดสันดอนก็เรื่องนึง แต่เรื่องพล.อ.ประยุทธ์จะไปต่อหรือไม่ไปต่อยังไงในช่วงเวลาที่เหลือ อันนี้ดูน่าสนใจกว่ามากอย่าลืมว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยมาแล้วว่า นับหนึ่งการเป็นนายกฯของพล.อ.ประยุทธ์ต้องยึดตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันประกาศใช้ เพราะฉะนั้นพล.อ.ประยุทธ์จะเหลือเวลาอีก 2 ปีเศษเท่านั้นหากจะคัมแบ็คกลับมาเป็นนายกฯต่อ เจอหน้าหนักข่าวก็ถูกจิ้มไมค์ถามเรื่องนี้ทันที พล.อ.ประยุทธ์ก็ตอบแบบตรงๆว่า “อนาคตก็คืออนาคตนะจ๊ะ” ชัดเจนว่าต้องขอเวลาคิดอ่านว่าจะเอายังไง เพราะเวลายังมี แต่ประเด็นเหลือวีซ่าแค่ 2 ปี ก็ทำให้พรรคฝ่ายค้านฝ่ายตรงข้าม หยิบมาโจมตีว่า โอกาสของพล.อ.ประยุทธ์ในการเลือกตั้งเที่ยวหน้าคงน้อยเต็มที จากข้อจำกัดเรื่องระยะเวลา 2 ปี คงทำให้ชาวบ้านหลายคนคิดหนักหากจะเลือกพล.อ.ประยุทธ์ให้กลับมาเป็นนายกฯ ประเด็นถูกโจมตีจากขั้วตรงข้ามก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้อยู่แล้ว เพราะอยู่คนละฝากกัน ไม่แปลกที่พรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคฝ่ายค้านและพวกอยู่คนละข้างกันจะหยิบเรื่องระยะเวลาที่เหลือแค่ 2 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์มาเป็น “จุดอ่อน” เป็นจุดที่ชาวบ้านต้องคิดหนัก หากจะเข้าคูหากาคนที่จะเป็นนายกฯได้แค่ 2 ปีเท่านั้นเข้ามาบริหารประเทศ
แต่ที่กลายเป็นประเด็นร้อนกว่าก็ต้องเป็นข้อเสนอแบบ “ทะลุกลางปล้อง” ของ นายวีระกร คำประกอบ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ออกมาปูดแนวคิดการเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯของพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งเที่ยวหน้า จะไม่เสนอพล.อ.ประยุทธ์คนเดียวเหมือนเลือกตั้งคราวที่แล้ว แต่จะดัน “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเป็นแคนดิเดตนายกฯเช่นเดียวกับพล.อ.ประยุทธ์ ฮือฮากว่านั้นก็คือจะดันลุงป้อมเป็นเบอร์แรก ส่วนเบอร์สองเบอร์รองก็ให้บิ๊กตู่เป็นแทน “ สมัยหน้าเป็นรถเมล์เที่ยวสุดท้ายที่จะมี ส.ว.มาช่วยสนับสนุน ดังนั้น ต้องดันลุงป้อมเป็นนายกฯ ส่วนลุงตู่ไปเป็นรองนายกฯหรือรมว.กลาโหมหรือโยกไปเป็นรมว.มหาดไทยก็ได้ ถึงลุงตู่เคยเป็นนายกฯมาแล้ว จะมาเป็นรองนายกฯ ก็ไม่เป็นไร เพราะ 3 คนพี่น้องแน่นแฟ้นกันเหนียวแน่น มองบ้านเมืองเป็นหลัก” นายวีระกรกล่าว หนำซ้ำยังฟาด “จุดอ่อน”บิ๊กตู่ “พล.อ.ประยุทธ์เล่นการเมืองไม่เป็น คนเล่นการเมืองคือ พล.อ.ประวิตรคนเดียว ส่วน พล.อ.ประยุทธ์เป็นฝ่ายบริหาร ไม่เล่นการเมือง ไม่สุงสิงกับส.ส. ปราศรัยไม่เป็น”
งานนี้กลายเป็นประเด็นร้อนในพรรคพลังประชารัฐ ถึงขนาด “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน สายตรงตึกไทยคู่ฟ้า ต้องออกมาเบรกว่าเป็นความคิดวีระกรคนเดียวไม่ใช่มติพรรค เพราะการพิจารณาเรื่องนี้ต้องรอบครอบและยังมีเวลา ขณะที่แกนนำหลายคนในพรรคก็ยังเชื่อมั่นในตัวพล.อ.ประยุทธ์ว่ายังขายได้ มองแว่บแรกก็เหมือนวีระกรออกมา “โยนหินถามทาง” บรรดาส.ส.ในพรรคว่าจะเอาอย่างไรกับอนาคตของพรรคจะเสนอชื่อ “ใคร” เป็นแคนดิเดตของพรรคดี แต่มองลึกลงไปนี้มันคือ “การตีกินทางการเมือง” หวังแซะพล.อ.ประยุทธ์แบบเต็มๆ เจ้าตัวเพิ่งพ้นบ่วงรอดจากคำร้องของฝ่ายค้านมาหมาดๆ แต่วีระกรที่เป็นส.ส.พรรคพลังประชารัฐแท้ๆ พรรษาก็มีพอสมควร กลับมาปล่อยข่าวให้พรรคพลังประชารัฐต้องสะเทือนกันเอง มองหน้ากันไม่ติด
เพราะออกมาส่งสัญญานเปิดหน้ากดดันพล.อ.ประยุทธ์แบบเต็มๆ เสนอแนวทาง “ดาน์วเกรด”บิ๊กตู่ ด้อยค่าพล.อ.ประยุทธ์ลงมาเป็นรองนายกฯ แบบนี้ ถ้าไม่รับงานฝ่ายตรงข้ามก็คงได้ธงจากคนในพรรคที่เกลียดพล.อ.ประยุทธ์แหง๋ๆ ถึงออกมาเสนอไอเดีย “คิดอุบาทว์ประสงค์ร้าย” โยนเผือกร้อนใส่บิ๊กตู่แบบเต็มๆ ในพรรคหรือคนที่เคยอยู่พรรคเป็นคนที่เกลียดไม่ชอบบิ๊กตู่และสนิทกับวีระกรก็มีไม่กี่คนไล่ประวัติดูก็รู้เดาชื่อเอาก็พอมองออก หรือหากวีระกรตั้งใจอวยลุงป้อมอยากป้อยอลูกพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ให้ได้เป็นนายกฯก็ควรดูทางลม มองกาลเทศะนิดนึง ออกมาประกาศเอาลุงป้อมเป็นเบอร์ 1 ขึ้นเป็นนายกฯตั้งแต่ไก่โห่แบบนี้ มองยังไงก็มีแต่เสียกับเสีย ขนาดพรรคเพื่อไทยรู้กันอยู่ทนโถ่ว่าจะวาง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวพรรคเพื่อไทยเป็นนายกฯ แต่ก็ยังไม่บ้ากระกาศให้อุ๊งอิ๊งเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคตั้งแต่หัววัน เพราะเปิดเร็วก็ช้ำไว การเมืองมีแต่ทำลายใครๆก็รู้
วีระกรไปอยากเลือกตั้งมาจากไหนไปเอาความกระสันมาจากใครถึงให้ข่าวทำร้ายเป็นลบกับพล.อ.ประยุทธ์แบบน่าเกลียด อย่าลืมว่าที่พรรคพลังประชารัฐลืมตาอ้าปากได้ดิบได้ดีทุกวันนี้ หลายคนได้เป็นรัฐบาลหลายคนได้เป็นเสนาบดีหลายคนได้ดิบได้ดีเสวยสุข ก็เพราะคนไทยรักพล.อ.ประยุทธ์จึงเลือกผู้สมัครของพรรคพลังประชารัฐเข้ามาแบบถล่มทลาย เรื่องแคนดิเดตนายกฯของพรรคเขาไม่เอามาพูดกันพล่อยๆ เพราะมันเป็นยุทธศาสตร์มีได้มีเสีย ต้องดูจังหวะจะโคนให้ดีถึงจะพูดถึงจะปล่อยออกมา ปล่อยแล้วพรรคต้องได้เปรียบปล่อยแล้วแคนดิเดตของพรรคต้องได้คะแนนนิยม ไม่ใช่ออกมาปล่อยแล้วคนด่าหรืออยากตบปากคนพูด วีระกรออกมาให้สัมภาษณ์เรื่องนี้เหมือนแกล้งไม่เข้าใจการเมือง ไม่เป็นผลดีกับพรรคไม่ได้ผลบวกกับพล.อ.ประวิตรแม้แต่น้อย 38 วันที่บิ๊กตู่ไม่อยู่ลุงป้อมอุตส่าห์ทำดีรักษาราชการแทนอย่างแข็งขันมาตลอดจนคนไทยชื่นชม ไม่มีเรื่องอิจฉาน้องหรือเรื่องจะแย่งเก้าอี้นายกฯในอนาคตมาทำให้มัวมองเลย แต่ลิ่วล้อออกมาพูดวันเดียวทำลุงป้อมเสียเลย หรือว่าขบวนการเลื่อยขาบิ๊กตู่ในพรรคพลังประชารัฐจะกลับมาอีกแล้ว เพราะเรื่องอุบาทว์ชาติชั่วแบบนี้คิดถึงใครไม่ได้จริงๆว่าจะเป็น “ไอ้โม่ง” ที่อยู่หลังฉากเลื่อยขาพล.อ.ประยุทธ์มาตลอด หรือจะเป็นมันจริงๆ
//////////////////