ณ วัดจุฑาทิศธรรมสภาราม วรวิหาร พระอารามหลวง อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี ผู้ว่าฯ ชลบุรี และพุทธศาสนิกชน เข้าร่วมงานจำนวนมาก ท่าน สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เป็นประธานในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานของกระทรวงแรงงาน ประจำปี 2565 ณ.วัดจุฑาทิศธรรมสภาราม วรวิหาร พระอารามหลวง ตำบลท่าเทววงษ์ อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อีกทั้งเป็นการสนองสถาบันพระมหากษัตริย์ในการทำนุบำรุงและส่งเสริมพระพุทธศาสนา ในการนี้มี นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายนริศ นิรามัยวงศ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นายนิติ วิวัฒน์วานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี นางสาวฐิติลักษณ์ คำพา รองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ข้าราชการ เจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงาน และจังหวัดชลบุรี ประชาชนชาวจังหวัดชลบุรี ร่วมใจถวายผ้าพระกฐินพระราชทาน พุทธศักราช 2565 ซึ่งมียอดทำบุญกฐินพระราชทาน ประจำปี 2565 รวมทั้งสิ้น 6,270,199 บาท
สำหรับวัดจุฑาทิศธรรมสภาราม วรวิหาร พระอารามหลวง ตำบลท่าเทววงษ์ อำเภอเกาะสีชัง จังหวัดชลบุรี ตั้งอยู่ส่วนหัวและเชิงเขาของเกาะสีชัง (เขาคยาศิระ) บริเวณที่เทียบเรือเทววงษ์ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี หลังจากมีถนนอัษฎางค์แล้ว ชาวบ้านได้ย้ายบ้านเรือนไปตั้งอยู่บริเวณปลายแหลมทางเหนือของเกาะทำให้ชาวบ้านอยู่ไกลจากวัดเกาะสีชัง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 จึงโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาอารามขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก กรมขุนเพ็ชรบูรณ์อินทราไชย เพื่อชาวบ้านจะได้ทำบุญตักบาตรสะดวก พระราชทานนามว่า” วัดจุฑาทิศธรรมสภาราม” เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2435 ปัจจุบันมีฐานะเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ประเภท วรวิหาร มีพระอุโบสถ หอระฆัง พระพุทธบาทจำลอง และพระประธานปางมารวิชัยที่งดงาม
กฐินพระราชทาน เป็นกฐินที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานผ้าของหลวงแก่ผู้กราบบังคมทูล ขอพระราชทานเพื่อไปถวายยังวัดหลวงต่างๆ นอกจากวัดสำคัญที่ทรงกำหนดไว้ว่าจะเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระองค์เอง หรือจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์ หรือองคมนตรี หรือผู้ที่ทรงเห็นสมควรเป็นผู้แทนพระองค์ไปถวาย จึงเปิดโอกาสให้กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ตลอดจนคณะบุคคลหรือบุคลากรที่สมควรรับพระราชทานผ้ากฐินไปถวายได้ โดยกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี เนื่องจากเป็นประเพณีที่พุทธศาสนิกชน ได้ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน เพื่อเป็นการอุปถัมภ์พระสงฆ์ที่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสให้ได้รับอานิสงส์ตามพระวินัย และเป็นทุนในการบูรณปฏิสังขรณ์พระอาราม โดยเป็นการรวมพลังแห่งความสามัคคี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจในการสร้างบุญกุศลสร้างความสุขของการอยู่ร่วมกันในสังคมรวมทั้งเป็นการจรรโลงและส่งเสริมพระพุทธศาสนาให้มั่นคงดำรงอยู่เจริญวัฒนาสถาพรสืบไป