ย้อนรอยตั้งพลังประชารัฐ ​ ชูบิ๊ก​ตู่นั่งนายกฯ

จากวันชื่นสู่วันช้ำ ตั้งพรรคมาได้แค่ 4 ปีมีแต่เรื่องไม่หยุดหย่อน จากพรรคยอดนิยมอันดับ 1 เผลอแพพเดียวกลายเป็นพรรคเสื่อมทรุด  บิ๊กตู่หนักใจไปต่อกับพลังประชารัฐหรือย้ายพรรคไปรวมไทยสร้างชาติดี   ย้อนอดีตที่มาพลังประชารัฐจากยุค 4 กุมาร สู่ยุคลุงป้อมใต้เงาเลขาฯที่ชื่อธรรมนัส  ก่อนถึงทางแยกสำคัญของนายกฯ ไปต่อกับพรรคเรือรั่วหรือย้ายไปนั่งเรือลำใหม่ไฉไลกว่า  

อนาคตทางการเมืองของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ วันนี้ยังไม่รู้จะไปทางไหนจะเดินอย่างไรต่อ แต่แนวโน้ม 3 หน้าที่จะออกไม่หนีไปจากนี้แน่นอน  1.ไม่ไปต่อพอแค่นี้  จัดประชุมเอเปคจบบริหารประเทศไปสักพัก  จากนั้นก็ยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชน หรือ 2.ขอไปต่อทางการเมืองทำงานเพื่อประเทศชาติรับใช้ประชาชนให้สิ้นสุดทางเลื่อน  เหลือระยะเวลาอีก 2 ปีตามที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเริ่มต้นนับการเป็นนายกฯตั้งแต่รัฐธรรมนูญประกาศฉบับปัจจุบันประกาศใช้เมื่อปี 2560 เพราะฉะนั้นก็จะเหลือเวลาอีก 2 ปีเศษในการเล่นการเมือง  หากไปต่อก็อยู่ที่ว่าจะไปกับใครลงเรือลำไหน  ทางแรกไปกับเรือลำเดิมอย่างพรรคพลังประชารัฐ  ที่ตอนนี้กำลังง่อนแง่นสุดๆ แต่หากขึ้นเรือลำเก่าจริงบิ๊กตู่ก็ต้องยอมรับสภาพการเป็นตัวเลือก 1 ใน 3 ไม่ใช่คนเดียวเพียวๆเหมือนการเลือกตั้งคราวที่แล้ว  เพราะรอบนี้จะมีคู่เทียบอย่าง “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กับ  “บิ๊กแป๊ะ” พล.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร.  ประกบเทียบไปด้วยในบัญชีแคนดิเดตนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ  หรือทางที่สองย้ายเรือแป๊ะไปนั่งกับเรือลำอื่น โดยมีพรรครวมไทยสร้างชาติของ “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค พร้อมอ้าแขนรับนายกฯอยู่แล้ว  ที่ล่าสุดแบะท่าพร้อมรับนายกฯลงเรือลำเดียวกัน เพราะได้คนดีมีฝีมือแบบนายกฯไปก็มีแต่  “วิน-วิน”  มีแต่ได้กับได้อยู่แล้วสำหรับพรรคการเมืองใหม่แบบพรรครวมไทยสร้างชาติ

อนาคตยังมารู้ว่าพล.อ.ประยุทธ์จะตัดสินใจอย่างไร ท่ามกลางเวลาที่งวดเข้ามาทุกที  เลือกตั้งก็เหลือเวลาไม่มาก ยังไงเสียบิ๊กตู่ก็ต้องตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งใน 3 ทางที่ว่านี้อยู่แล้ว เพียงแต่ขอเวลาจัดประชุมเอเปค 14-19 พ.ย.ให้แล้วเสร็จไปก่อน  หลังจากนั้นค่อยมาคิดถึงอนาคตของตัวเองแบบจริงๆจังๆอีกทีว่าจะเอาไง กลับบ้านหรือไปต่อ ถ้าไปต่อจะไปกับใครไปยังไง ล่าสุดตอบคำถามนักข่าวหลังประชุมครม.วันนี้ ( 8 พ.ย.2565) ก็บอกว่า “ยังไม่ตัดสินใจอะไรทั้งนั้น ยังไม่มีคำตอบ ”  ชัดเจนว่าก็คงจะซื้อเวลาไปเรื่อยๆ  จนกว่าจะหาทางออกคุยทางลงกับลุงป้อม  พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ได้ว่าจะเอาทางไหนดีถึงจะสวยงาม และเป็นประโยชน์กับทุกฝ่ายโดยพาะบ้านเมืองมากที่สุด หลังจากอยู่บริหารประเทศมา 8 ปีเศษ สร้างคุณูปการและประโยชน์สารพัดเรื่องมากมายให้กับประเทศไทย

 ย้อนอดีตกลับไปช่วงรัฐบาลเรือแป๊ะ 1 ตอนนั้นบิ๊กตู่กำลังจะหมดสมัยการทำหน้าที่นายกฯรอบแรก  มีการหารือกับแกนนำรับบาลหลายคนเรื่องการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเพื่อต่อยอดการเมืองในเทอม 2  หนึ่งในคนที่บิ๊กตู่ปรึกษาด้วยคือ  “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจในยุคนั้น วงในระบุว่าแรกเริ่มเดิมทีบิ๊กตู่ไม่คิดจะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาเอง  แต่จะให้พรรคการเมืองที่มีอยู่ในตอนนั้น ทั้งพรรคภูมิใจไทยของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล กับ พรรคประชาธิปัตย์ของ “เดอะมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  เป็นคนสนับสนุนให้ขึ้นเป็นนายกฯสมัย 2  แต่คนข้างกายหลายคนโดยหนึ่งในนั้นก็มีสมคิดสะท้อนกลับว่า “ หากไปพึ่งจมูกคนอื่นหายใจจะลำบาก โดยเฉพาะในอนาคตไม่รู้ว่าการเมืองจะเปลี่ยนไปแบบไหน”    ประกอบกับหากการเลือกตั้งเกิดขึ้น  ไม่รู้ว่าถึงเวลาจริงๆ พรรคการเมืองเหล่านั้นจะเชื่อใจได้มากน้อยแค่ไหนในการเสนอชื่อคนเป็นนายกฯ  และ จะได้ส.ส.เข้ามากี่คน   สมคิดเลยเสนอบิ๊กตู่ว่าหากจะเล่นการเมืองต่อต้องตั้งพรรคขึ้นมาเอง  บิ๊กตู่เลยโอเคกับแนวคิดนี้จากนั้นจึงให้สมคิดเป็นตัวตั้งตัวตีในการดำเนินการ นำไปสู่การตั้งพรรคพลังประชารัฐขึ้นมาตั้งแต่วันที่ 2 มี.ค.2561 โดยมีชวน ชูจันทร์  ประธานประชาคมตลาดน้ำคลองลัดมะยม กับ พ.อ.สุชาติ จันทรโชติกุล อดีตส.ส.สงขลาพรรคความหวังใหม่ เป็นคนจัดตั้งพรรคกับกกต.  จากนั้นสมคิดจึงเดินสายหาแนวร่วมทางการเมืองจากกลุ่มก๊วนการเมืองต่างๆ โดยได้กลุ่มสามมิตรของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ สมศักดิ์ เทพสุทิน และ อนุชา นาคาศัย มาผนึกกำลังกับทีมงาน 4 กุมาร ที่เป็นคนใกล้ชิดของสมคิดคือ อุตตม สาวนายน  สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ สุวิทย์ เมษินทรีย์ และ กอบศักดิ์ ภูตระกูล จากนั้นในวันที่ 29 ก.ย.2561 พรรคมีการประชุมใหญ่สามัญเพื่อเลือกกรรมการบริหารพรรค  ผลปรากฏว่าอุตตมได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค สนธิรัตน์เป็นเลขาธิการพรรค  เริ่มต้นดำเนินการขับเคลื่อนพรรคพลังประชารัฐทางการเมืองยุคแรกในยุคของ 4 กุมาร

เข้าสู่การเลือกตั้ง 24 มี.ค.2562 เพราะความนิยมในตัวบิ๊กตู่เป็นด้านหลัก  พรรคพลังประชารัฐจึงชนะการเลือกตั้งทั่วไป แบบถล่มทลายได้คะแนนทั่วประเทศไปมากกว่า 8,452,634 คะแนน กวาดส.ส.ไป 116 คน ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ได้รับการเสนอชื่อเพียงคนเดียวจากพรรคพลังประชารัฐในการเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรค   สุดท้ายผลการโหวตในสภาบิ๊กตู่ได้เป็นนายกฯสมัยที่สองแต่เป็นสมัยแรกตามรัฐธรรมนูญใหม่ 2560 ด้วยคะแนนเสียงโหวต 500 เสียง ส.ว.249 เสียง ส.ส.251 เสียง เฉือนธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ที่ได้ 244 เสียงไปแบบขาดลอย   อย่างไรก็ตามถัดมาไม่นานเริ่มเกิดปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐที่เป็นแกนนำรัฐบาลระหว่างกลุ่มสามมิตรกับ 4 กุมาร  บิ๊กตู่เลยต้องผ่าทางตันดึงลุงป้อมเข้ามาเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อคุมพรรคพลังประชารัฐไม่ให้แตกร้าวจนกระทบเสถียรภาพรัฐบาล อยู่ได้ไม่นานกลุ่มสามมิตรก็ประสานกับก๊วนลุงป้อมจัดการยึดอำนาจจากกลุ่ม 4 กุมาร   1 มิ.ย.2563  กรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ  18 คนลาออก   ถัดมา 27 มิ.ย.2563 มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีที่ห้องแกรนด์ ไดมอนด์ บอลรูม อิมแพค เมืองทองธานี  ที่ประชุมใหญ่เลือกลุงป้อมขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแบบเอกฉันท์ 4 กุมารหลุดจากตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคทั้งหมด เข้าสู่ยุคพล.อ.ประวิตรเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐแบบเต็มตัว

 

หลังเป็นหัวหน้าพรรคได้ครบปี 18 มิ.ย.2564 มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของพรรคที่ จ.ขอนแก่น  ที่ประชุมเลือกลุงป้อมเป็นหัวหน้าพรรคเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนเลขาธิการพรรคคนใหม่จากอนุชาเป็น “ผู้กอง”ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส่วน “อ.แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ คู่ซี้ก็ได้ขยับขึ้นเป็นเหรัญญิกพรรคในเวลาเดียวกัน แต่ในยุคลุงป้อมเป็นหัวหน้าพรรค ผู้กองเป็นเลขาฯ ก็อย่างที่เห็นพรรคพลังประชารัฐมีแต่เสื่อมทรุด  ผู้กองจับมือแก๊งค์ 4 ช. เปิดศึกล่อนายกฯ  แจกกล้วยเตรียมคว่ำบิ๊กตู่ในศึกซักฟอก จนถูกปลดออกจากรัฐมนตรี  จากนั้นก็มีเรื่องราวมากมายปัญหาสารพัดตามมาไม่หยุด  พรรคพลังประชารัฐมีแต่ถอยหลังเข้าคลอง เลือกตั้งซ่อมก้แพ้ทุกเขต คะแนนนิยมก็หดหาย  จากพรรคอันดับหนึ่งเมื่อการเลือกตั้งคราวก่อน ปัจจุบันโพลล์สำรวจคะแนนนิยมตกไปอันดับ 3 อันดับ 4  บอกเลยว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ความนิยมของบิ๊กตู่ลดลงไปก็เพราะความห่วยแตกไม่เอาไหนของพรรคพลังประชารัฐที่เกิดเรื่องราวขัดแย้งบาดหมางทะเลาะกันไม่หยุด  โดยเฉพาะอดีตแกนนำพรรคบางคนที่หาเรื่องบิ๊กตู่ไม่หยุดหย่อนจองเวรนายกฯไม่รู้จักเวลา  ที่สุดเลยทำให้พรรคพลังประชารัฐตกต่ำดำดิ่ง  มีอย่างที่ไหนเป็นรัฐบาลแท้ๆคะแนนนิยมมีแต่ทรุดลงฮวบๆ ไม่แปลกที่บิ๊กตู่อยากย้ายพรรคใจจะขาด ใครจะไปอยากอยู่พรรคที่มีแต่เสี้ยนหนามตำตีน แถมร่ำๆว่าอนาคตจะเอาหอกข้างแคร่  ศัตรูที่(หัวหน้าพรรค)รักกลับมาอีก  พรรคเละเทะไม่มีทรงไม่มีความพร้อมแบบนี้ใครอยากจะไปอยู่ด้วย อย่าว่าแต่บิ๊กตู่อยากจะไปเลย เป็นใครๆก็ไป อยู่ทำไมกับเรือที่กำลังมีรูรั่ว  กัปตันพูดแต่ “ไม่รู้ ไม่รู้”  ใบเรือก็ขาด หางเสือก็แหว่ง  จะแล่นไปทางไหนก็ยังไม่รู้อนาคตเลย

////////////////

 

 

 

 

 

 

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น