วันที่ 14 พ.ย.65 ที่จังหวัดพังงา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงผลสำรวจความเห็นของซุปเปอร์โพล ที่ระบุว่าแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี อย่างนายจุรินทร์โดดเด่นในเรื่องความจงรักภักดีต่อสภาบันฯ รวมถึงการแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจได้ดี ว่า ก็เป็นการสะท้อนจุดยืนและสิ่งที่พรรคได้ทำมา ว่าอยู่ในสายตาของประชาชนและมีเสียงตอบรับกับสิ่งที่ได้แสดงออกไป เพราะจุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ ชัดเจนว่าสนับสนุนการแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยยิ่งขึ้น แต่ต้องไม่แตะหมวด1หมวด2 และไม่แก้มาตรา112 เพราะทุกประเทศต้องมีกฎหมายที่คุ้มครองประมุขของรัฐ
"จุรินทร์" ขอบคุณประชาชน"ผลซุปเปอร์โพล" รับทราบจุดยืนพรรคจงรักภักดีต่อสภาบันฯ พาเศรษฐกิจเดินหน้า ไม่วิจารณ์ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ขอให้มองอดีตเป็นบทเรียน
ข่าวที่น่าสนใจ
นอกจากนั้นในเรื่องแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องพรรคก็มีจุดยืนที่ชัดเจน รวมทั้งทำงานหนักตลอดเวลาที่ผ่านมาในการเน้นการสร้างเงินให้กับประชาชน และการสร้างเงินให้กับประเทศ ตั้งแต่การใช้นโยบายเรื่องประกันรายได้สินค้าการเกษตร รวมถึงการเข้าไปดูแลเศรษฐกิจฐานรากด้านอื่นๆด้วย ส่วนการสร้างเงินให้กับประเทศ ก็เห็นชัดเจนว่าแม้จะเผชิญกับภาวะวิกฤติโควิด แต่ก็สามารถนำการส่งออกฝ่าวิกฤติไปได้ ทำให้การส่งออกของไทยเป็นบวกมาตลอด ปีนี้คาดว่าจะสร้างเงินให้กับประเทศไม่ต่ำกว่า9ล้านล้านบาท ขณะที่เครื่องยนต์ตัวอื่นในทางเศรษฐกิจยังขับเคลื่อนไม่ได้ แต่การส่งออกกลายเป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจตัวเดียวทำให้จีดีพีของประเทศเป็นบวกขึ้นมา และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ไป พร้อมขอขอบคุณประชาชนที่ติดตามและรับทราบจุดยืนของประชาธิปัตย์ ส่วนนี้ก็ถือว่าช่วยให้มีกำลังใจมากขึ้น ส่วนจะผลต่อการเลือกตั้งหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับประชาชน แต่ทิศทางที่ชัดเจนคือประชาธิปัตย์ ก็ยังให้ความสำคัญกับประชาธิปไตย แต่ต้องเป็นประชาธิปไตยแบบท้องอิ่ม ที่จะสามารถสร้างเงินให้ประชาชน สร้างเงินให้ประเทศ ทำให้ประชาชนอิ่มท้องได้
พร้อมกันนี้ นายจุรินทร์ กล่าวถึงกรณีที่ นายแพทย์ระวี มาศฉมาดล หัวหน้าพรรคพลังธรรมใหม่เตรียมเสนอพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)นิรโทษกรรม โดยยกเว้นคดีทุจริตคอรัปชั่น ,คดีอาญาร้ายแรง และคดี 112 ว่า ตนไม่ขอวิจารณ์ว่าเห็นด้วยหรือไม่ เพราะต้องไปดูหลักการ เหตุผลและรายละเอียดด้วย แต่การเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมก็เคยมีข้อสังเกต และมีประสบการณ์กันมาแล้ว ในช่วงการเสนอ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย จนทำให้บ้านเมืองเสียหายในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันคนก็ยังกลัวกันอยู่ เพราะฉบับนั้นเริ่มต้นไม่มีอะไรแต่ไปบานปลายเอาตอนสุดท้าย จากต้นซอยจนกลายเป็นสุดซอย จนนำมาซึ่งการต่อต้านจากประชาชน ที่ออกมาเป็นจำนวนมากเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศ เพราะฉะนั้นก็มีบทเรียนกันมาแล้ว ส่วนพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้ ก็ต้องกลับไปดูรายละเอียดว่าเป็นอย่างไรประกอบการพิจารณา แต่ตนไม่ได้หมายถึงว่าครั้งนี้จะเป็นอย่างเช่นในอดีต แต่เนื่องจากมีบทเรียนมาแล้วฉะนั้นต้องตระหนัก ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง ไม่เช่นนั้นก็เหมือนกับสำนวน”ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชา”
ข่าวที่เกี่ยวข้อง