ตรวจพบ โควิด “เดลตาครอน” รายแรกของไทย ยังไม่พบสัญญาณความรุนแรง

กรมวิทย์ฯ ตรวจพบสายพันธุ์ XBC หรือเดลตาครอน รายแรกของไทย ปัจจุบันผู้ติดเชื้อหายเป็นปกติแล้ว ย้ำยังไม่พบสัญญาณความรุนแรงของเชื้อที่กลายพันธุ์ แต่อาจจะทำให้มีการแพร่และติดเชื้อง่ายขึ้น

วันที่ 30 พ.ย. 65 นายแพทย์ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยข้อมูล การตรวจเฝ้าระวังติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด 19 ในประเทศ และติดตามสายพันธุ์น่ากังวลที่อาจพบ จากผู้เดินทางเข้าประเทศ ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ระหว่างวันที่ 19-25 พฤศจิกายน 2565 ผลการตรวจเฝ้าระวังแบบ SNP/Deletion ด้วยวิธี RT-PCR จำนวน 299 ราย พบว่า ในภาพรวมสัดส่วนของ BA.2.75 เพิ่มขึ้นเป็น 63.3% จากสัปดาห์ก่อนที่มีสัดส่วน 42.9% และเมื่อแยกตามกลุ่ม พบว่า ส่วนใหญ่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ติดเชื้อในประเทศที่เพิ่มขึ้นจาก 23.2% เป็น 43.9% และล่าสุดเป็น 58.8%

 

จากการถอดรหัสพันธุกรรมแบบทั้งตัว (Whole genome sequencing) ของตัวอย่างในประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน พบสายพันธุ์ BA.2.75 และลูกหลานของ BA.2.75 เช่น BA.2.75.2, BA.2.75.5.1 (BN.1), BA.2.75.1.2 (BL.2) มากกว่า 468 ราย (จำนวนนี้รวมจำนวน 216 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างการนำเข้าเพื่อเผยแพร่บนฐานข้อมูลสากล GISAID) โดยพบว่า BN.1 และลูกหลาน มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นกว่าสัปดาห์ก่อน ถึง 4 เท่าตัว การเพิ่มจำนวนที่รวดเร็วของเชื้อโอมิครอนสายพันธุ์กลายพันธุ์ มีความเป็นไปได้ของการเพิ่มจำนวนการติดเชื้อจนกระทั่งทดแทนสายพันธุ์เดิมที่กระจายอยู่ในพื้นที่

 

 

ข่าวที่น่าสนใจ

นอกจากนี้พบสายพันธุ์ XBB.1 จำนวน 4 ราย และ BQ.1 จำนวน 7 ราย สำหรับสายพันธุ์ XBC หรือ “เดลตาครอน” ขณะนี้พบในประเทศไทยแล้ว จำนวน 1 ราย ทั้งนี้สายพันธุ์ XBC เป็นสายพันธุ์ลูกผสมของเดลตาและโอมิครอน BA.2 โดยข้อมูล ณ วันที่ 20 พฤศจิกายน 2565 รายงานพบสายพันธุ์ XBC จากหลายประเทศบนฐานข้อมูลสากล GISAID จำนวน 153 ราย ทั้งนี้ยังไม่พบสัญญาณความรุนแรงของเชื้อที่กลายพันธุ์ แต่อาจจะทำให้มีการแพร่และติดเชื้อง่ายขึ้น โดยในรายของผู้ป่วยที่ตรวจพบสายพันธุ์ XBC เป็นรายแรกของไทยนั้นปัจจุบันหายเป็นปกติดีแล้ว

 

 

นายแพทย์ศุภกิจ กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์ทั่วโลกรายสัปดาห์ พบว่า
• BA.5 และสายพันธุ์ลูกหลาน ยังคงเป็นสายพันธุ์ที่พบมากทั่วโลก คิดเป็น 72.1%
• BA.4 และสายพันธุ์ลูกหลาน ลดจากสัปดาห์ก่อนจาก 3.6% เป็น 3.0%
• BA.2 และสายพันธุ์ลูกหลาน คิดเป็น 9.2% เพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน
• BA.1 และสายพันธุ์ลูกหลาน พบน้อยกว่า 1%
• BQ.1 และสายพันธุ์ลูกหลาน พบเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน (จาก 19.1% พบเพิ่มเป็น 23.1%)
• XBB (สายพันธุ์ลูกผสมของ BA.2.10.1 และ BA.2.75) และสายพันธุ์ลูกหลาน พบเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน (จาก 2.0% พบเพิ่มเป็น 3.3%)

 

“กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ร่วมกับเครือข่าย ยังคงเฝ้าระวังติดตามการกลายพันธุ์ของเชื้อโควิด 19 และเผยแพร่บนฐานข้อมูลสากล GISAID อย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามผลกระทบจากสายพันธุ์ย่อยของสายพันธุ์น่ากังวล ที่อาจมีต่อความรุนแรงของโรค ประสิทธิผลของมาตรการทางสาธารณสุข หรือคุณสมบัติของอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องของเชื้อไวรัส เป็นข้อมูลสนับสนุนการออกแบบการรักษา การให้ยาต้านไวรัส หรือ แอนติบอดีสังเคราะห์ ในช่วงเวลานี้มาตรการส่วนบุคคล เช่น การสวมหน้ากาก ล้างมือ ยังจำเป็น เพื่อลดการระบาดของโรค รวมถึงการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นสามารถลดความรุนแรงได้ โดยเฉพาะกลุ่ม 608” นายแพทย์ศุภกิจ กล่าว

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

กรมส่งเสริมสหกรณ์ เร่งเครื่องสนับสนุนอุปกรณ์การตลาดแก่สหกรณ์ หวังช่วยลดปัญหาการก่อฝุ่น PM 2.5 ภาคการเกษตร
คึกคัก "คู่รัก LGBTQ+ โคราช" ทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่กว่า 20 คู่ จูงมือจดทะเบียนสมรส
วิกฤตฝุ่น PM2.5! โรงเรียนสังกัด กทม. สั่งปิดแล้ว 195 แห่ง หลังฝุ่นพิษพุ่งเกินมาตรฐาน
"สมรักษ์" คอตก ศาลขอนแก่น สั่งจำคุก 2 ปี 13 เดือน คดีอนาจาร พรากผู้เยาว์ "สาววัย 17 ปี"
“ธนกร” แนะรัฐบาลฉวยโอกาสอีเว้นท์ใหญ่ช่วงเปิด “สมรสเท่าเทียม” ดึงนทท.ทั่วโลก
"มาริษ" เผย ตปท.ชื่นชมไทย "สมรสเท่าเทียม" มีผลบังคับใช้แล้ว
"เศรษฐา" ยินดี 23 ม.ค. "สมรสเท่าเทียม" เกิดขึ้นจริงด้วยพลังของทุกคน 
“ไทด์” สุดสงสาร “แตงโม” ไม่ได้โดนแค่กรีดขา แต่โดนเจาะน่อง-มันทะลัก
"พิชัย" โชว์วิชั่นเวที WEF ดาวอส ประกาศศักยภาพไทย พร้อมเปลี่ยนสู่ยุคศก.ดิจิทัล โลก AI
งานเข้า! "ตำรวจไซเบอร์" ชี้ล่าเหรียญ "Jagat" ฟันผิดกฎหมาย พบ 3 บัญชีโอนเงินผู้เล่นจริง จ่อเรียกสอบ

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น