โครงการ “เส้นทางสัญจร” ต้นแบบ แก้ปัญหาทางเท้าอย่างยั่งยืน
- เผยแพร่ : 07/12/2022 17:19
กดติดตาม TOP NEWS
โครงการ "เส้นทางสัญจร" ต้นแบบ ม.ศรีปทุมผนึกกทม.-มูลนิธิอารยสถาปัตย์-ประชาชน นำร่องโครงการ ปลดล็อกแก้ปัญหาทางเท้าอย่างยั่งยืน
มหาวิทยาลัยศรีปทุม โดยคณะการออกแบบ และสถาปัตยกรรมศาสตร์ ผนึกกำลังภาคีการพัฒนาเมืองจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยมีสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร ร่วมกับมูลนิธิอารยสถาปัตย์ เพื่อคนทั้งมวล เดินหน้าโครงการ “เส้นทางสัญจร” ต้นแบบเพื่อทุกคน แก้ไขปัญหาทางเท้าและสะพานลอยจากบริบทเมืองที่เปลี่ยนแปลง อาทิ
1. ทางเท้าแคบ-บันไดสะพานลอยขวาง
- ใช้พื้นที่บางบัว–สะพานใหม่ ระยะทาง 4.3 กิโลเมตรเป็นต้นแบบการพัฒนาสำรวจร่วมกับภาคประชาชน
- เพื่อออกแบบแก้ปัญหาตามให้ทุกคนใช้ประโยชน์ได้ต่อเนื่องตลอดเส้นทาง คงอัตลักษณ์ของชุมชน เพื่อทุกคน
- ส่งเสริมการพึ่งพาตนเองในการเดินทาง
หากช่วยกันแก้ปัญหาสภาพแวดล้อมพิการ ได้ตรงจุดและยั่งยืน เชื่อมโยงการเดินสัญจรทั่วถึง ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเส้นทาง แบบไร้รอยต่อ ยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยการสัญจรที่สะดวกปลอดภัย มุ่งเป็นโมเดลต้นแบบงานปรับปรุงเฉพาะจุด จัดระบบสาธารณูปโภคโดยไม่ต้องรื้อถอนทั้งระบบ ปลดล็อกแก้ปัญหาทางเท้าอย่างยั่งยืน สอดรับกับการพัฒนาเมือง
อาจารย์ธีรบูลย์ พิศาลอภิพงศ์ คณบดีคณะการออกแบบและสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม กล่าวว่า การนำเสนอโครงการเส้นทาง สัญจรต้นแบบเพื่อทุกคน ปรับปรุงพื้นที่ทางสัญจรริมถนน กรณีต้นแบบบางบัว–สะพานใหม่ เกิดจากการผนึกกำลังทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ-เอกชน และภาคประชาชน โดยความร่วมมือจาก สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร มูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล และประชาชนในพื้นที่สำรวจปัญหาพื้นที่ทางสัญจรบางบัว–สะพานใหม่ บนแนวคิดรูปแบบการแก้ไขปัญหาเฉพาะจุด
โดยจะแก้ปัญหาทางเท้า และสะพานลอยใน 3 ลักษณะหลัก คือ
- การออกแบบ เพื่อแก้ปัญหาสิ่งกีดขวางบนทางเท้า
- รวมถึงปรับบันไดสะพานลอยตั้งแต่ช่วงชานพัก
- และขยายพื้นที่ทางเท้าด้านชิดอาคารริมทางสัญจร
บนโรดแมปการแก้ไขที่เห็นชอบร่วมกันของทุกฝ่าย โดยมีเป้าหมายใช้เป็นโครงการนำร่องแก้ไขปัญหาทางเท้าเฉพาะจุดให้ทุกคนสามารถใช้ทางเท้าร่วมกันได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญของมหาวิทยาลัยที่นอกเหนือจากการมุ่งพัฒนา ผลิตนักศึกษา สร้างบุคลากรคุณภาพสู่สังคมแล้ว อีกหนึ่งด้านที่ยังคงให้ความสำคัญมาอย่างต่อเนื่องคือการพัฒนาชุมชน และสังคม โดยมีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน SDGs ตามภารกิจของสหประชาชาติ ซึ่งสอดคล้องกับหลัก ESG แนวคิดการพัฒนาพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันทุกภาคส่วนเพื่อให้ทุกภาคส่วนได้ประโยชน์ร่วมกัน ซึ่งหากบริษัทเอกชนหันให้ความสำคัญร่วมมือปรับปรุงพื้นที่สัญจรของตัวเองเป็นอีกหนึ่งโครงการ ESG ที่เป็นรูปธรรมทำเพื่อชุมชน สังคมรอบข้างได้อย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ที่ผ่านมามหาวิทยาลัยให้ความสำคัญต่อการพัฒนาที่ยังยืน SDGs ตามแนวทางขององค์กรสหประชาชาติ และให้พื้นที่ชุมชนโดยรอบ โดยรับรู้ถึงปัญหาขาดความสะดวกสบายในการใช้ทางเท้า บริเวณบางบัว–สะพานใหม่ ของชุมชนที่อยู่อาศัยใกล้เคียงเส้นทางเท้าริมถนน และติดกับสถานีรถไฟฟ้าที่มีผู้ใช้เส้นทางในการเดินทางจำนวนมาก ทั้งกลุ่ม
- ประชาชนวัยเรียน
- วัยทำงาน
- ผู้พิการ
- และผู้สูงอายุมาโดยตลอด
ประกอบกับคณะการออกแบบ และสถาปัตยกรรมศาสตร์ มีความเชี่ยวชาญด้านการสำรวจ วิจัย และออกแบบ จึงเป็นตัวเชื่อม กทม. มูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล กลุ่มผู้พิการ ผู้สูงอายุ และประชาชนในพื้นที่มาร่วมสำรวจและวางแผนการแก้ไขทางเท้าให้เป็นมิตรต่อการเดินทางของทุกคน
หากสามารถดำเนินการแล้วเสร็จ โครงการนี้นำร่องเป็นมาตรฐานโครงการต้นแบบ ปลดล็อกการแก้ปัญหาทางเท้าทั้งระบบได้อย่างยั่งยืน บนความร่วมมือของทุกภาคส่วน และเป็นต้นแบบให้เอกชนออกมาเชื่อมโยงประสานความร่วมมือหาแนวทางปรับปรุงแก้ไขทางสัญจรในพื้นที่ของตัวเอง โดยที่ผ่านมาปัญหาดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขได้ถาวรและรวดเร็ว เนื่องจากมีความเกี่ยวข้องกับสาธารณูปโภคหลายส่วนทั้ง
- ระบบไฟฟ้า
- ระบบประปา
- ระบบสื่อสาร
- รวมถึงสตรีทเฟอร์นิเจอร์ต่าง ๆ
การดำเนินการแก้ไขบนความร่วมมือเป็นทางออกสำคัญของการแก้ไขปัญหานี้ และหวังว่าโครงการนี้จะการเป็นตัวจุดประกายให้พื้นที่อื่น ๆ ร่วมมือกันปรับทางเท้าบริเวณชุมชนของตนเองในทั้งในพื้นที่ กทม. และต่อยอดไปทั่วประเทศ
นายกฤษณะ ละไล ประธานมูลนิธิอารยสถาปัตย์ กล่าวเพิ่มเติม ด้วยรูปแบบผังเมืองปัจจุบันที่เปลี่ยนไป ส่งให้ทางเท้า แคบลง มีสิ่งกีดขวาง พื้นขรุขระ ส่งผลให้ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะกับผู้พิการ ผู้สูงอายุที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเพราะประเทศไทยได้ก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มตัวแล้ว การเดินทางไปไหนมาไหนด้วยตัวเองไม่สะดวกและขาดความปลอดภัย ปัจจุบันพบปัญหาที่ผู้พิการและผู้สูงอายุในการสัญจรทางเท้า เช่น
- ผู้ใช้วีลแชร์สัญจรไม่ได้ เพราะ บันไดสะพานลอยกีดขวาง ทำให้ทางเท้าแคบลง
- สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ บนทางเท้า ถูกขยับขยายไปอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เอื้อต่อผู้ใช้ทางเท้า
ทั้งนี้ การเชื่อมโยงทางสัญจรให้สามารถเชื่อมโยงใช้งานกันอย่างทั่วถึงไร้รอยต่อ ได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกสภาพร่างกาย หากมองว่าคนพิการไม่มี แต่มีเพียงสภาพแวดล้อมที่พิการ หากร่วมมือแก้ไขสภาพแวดล้อมที่พิการได้จะเป็นแก้ปัญหาทางสัญจรที่ยั่งยืน ทำให้กทม.เป็นหนึ่งในเมืองหน้าอยู่บนหมุดแผนที่โลกได้สำเร็จ
ด้วยเหตุนี้การคำนึงถึงการออกแบบทางเท้าให้สามารถรองรับการใช้ชีวิตได้อย่างเท่าเทียมกันจึงเป็นสิ่งที่จำเป็น ตามหลักออกแบบอารยสถาปัตย์ (Universal Design) เพื่อให้ทุกคนได้มีสภาพแวดล้อม การใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย สามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสาธารณูปโภคต่าง ๆ ได้โดยไม่เกิดอุปสรรคในการใช้ชีวิต ดังนั้น การออกแบบอารยสถาปัตย์ในพื้นที่สาธารณะต่าง ๆ จึงจำเป็นต้องคำนึงถึงองค์ประกอบการใช้งานที่เหมาะสมกับประชาชนทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของขนาดพื้นที่ใช้งาน วัสดุอุปกรณ์ ราวจับ ความลาดชัน รวมไปถึงสัญลักษณ์ต่าง ๆ เพื่อเอื้อต่อความสะดวกให้การเดินทางตามวัตถุประสงค์ของ โครงการ “เส้นทางสัญจร” ต้นแบบเพื่อทุกคน
นายประสิทธิ์ อินทโฉม รองผู้อำนวยการ สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ปัจจุบัน กรุงเทพมหานครได้พัฒนาระบบคมนาคม ทั้งรถเมล์ชานต่ำและรถไฟฟ้าที่พร้อมจะส่งคนพิการไปยังจุดหมาย รวมถึงได้เดินหน้าพัฒนาปรับปรุงทางเท้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งเสริมให้คนพิการเดินทางได้ด้วยตนเองตามกำลังความสามารถ ลดการพึ่งพาผู้อื่น แต่การพัฒนาเมืองและระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ที่เอื้อต่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต
การปรับปรุงเส้นทางการจราจร การตัดถนน อาจทำให้ทางเท้าซึ่งสร้างตามมาตรฐานไปกระทบการใช้งานของประชาชน การขยายความกว้างถนนทำให้ทางเท้าแคบลง บันไดสะพานลอยกลายเป็นสิ่งกีดขวาง ตำแหน่งสถานีรถไฟฟ้า การติดตั้งเสาไฟ หรืออุปกรณ์อื่น ๆ บนพื้นที่ทาง ทำให้การใช้งานทางเท้าเปลี่ยนแปลงไป
สำนักการโยธากรุงเทพมหานคร ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีปทุมลงพื้นที่ศึกษา บนเส้นทางบางบัว-สะพานใหม่ ร่วมกับกรุงเทพมหานครและกลุ่มคนพิการผู้ใช้ทางเท้า เพื่อรับฟังความคิดเห็นทั้งปัญหาโดยตรงและทางอ้อมจากประชาชน นำไปสู่การพัฒนารูปแบบให้สอดรับกับความต้องการ ในเบื้องต้นเสนอแก้ปัญหาทางเท้าและสะพานลอยใน 3 ลักษณะหลัก ๆ ประกอบด้วย
- การปรับสิ่งกีดขวางบนทางเท้า
- ปรับบันไดสะพานลอยตั้งแต่ช่วงชานพัก
- และขยายพื้นที่ทางเท้าด้านชิดอาคาร
โดยมหาวิทยาลัยศรีปทุมได้ยื่นเสนอกับกรุงเทพมหานคร พร้อมรับความเห็นชอบ ปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาลักษณะปัญหาอื่น ๆ ตลอดเส้นทาง เพื่อนำร่องพัฒนารูปแบบมาตรฐานในการแก้ปัญหา นำไปปรับปรุง และขยายผลสู่พื้นที่อื่นๆต่อไป โครงการ “เส้นทางสัญจร” ต้นแบบเพื่อทุกคน ถือเป็นโครงการต้นแบบการผนึกกำลังความร่วมมือของภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยกันสำรวจและออกแบบแก้ไขร่วมกัน บนการเดินหน้านโยบายปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ทางเท้า รวมถึงปรับปรุงสะพานลอยให้เหมาะสมกับการใช้งานของทุกคน และคงความเป็นอัตลักษณ์ของชุมชน สอดรับกับนโยบายของกรุงเทพมหานครได้อย่างรวดเร็วและยั่งยืน และจะกลายเป็นโครงการการนำร่องต้นแบบการจัดการเส้นทางสัญจรบนทางเท้า
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
-