วันนี้ ( 9 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ค่ำวันที่ 8 ธ.ค. ที่ผ่านมา นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า ตู้ห่าวรอดคุก? นายตู้ห่าวโดนคดียาเสพติด 3 ข้อหา สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ผู้นั้นสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดร่วมกันค้ายาเสพติด และร่วมกันมีวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่าย ศาลไม่ให้ประกันตัว อยู่ในเรือนจำ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น คดียังอีกยาว สู้กันถึงฎีกา แต่หากหลุดชั้นอัยการ จบข่าว แตกกระเซ็นไปคนละทิศคนละทาง ในคดีนี้ มีกลิ่นทะแม่งๆ โชยมาอย่างแรงตั้งแต่เริ่มต้น ผู้ต้องหาเป็นผู้มีอิทธิพล และมีเงินหนา ทำกันเป็นขบวนการ มีคอนเน็คชั่นสูงเกี่ยวพันถึงคนมีอำนาจ
ประเทศไทยนั้น จาก “ดำ” มันแปรเปลี่ยนเป็น “ขาว” ให้เห็นกันมานักต่อนักแล้ว หากสำนวน “ดิ้นไปดิ้นมา” ไม่มีหลักยึดแน่นหนา จะหลุดเหมือนคดี “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” ที่ “ศาลฎีกายกฟ้อง” แล้วจำเลยกลายเป็นผู้บริสุทธิ์ หันกลับมาฟ้องเรียกค่าเสียหายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติกันอุดตลุด ตำรวจอาจเก่งเรื่อง “การสืบสวนจับกุม“ แต่ “สำนวน” ไม่แม่นยำเหมือนนักกฎหมาย สำนวนจะโดนยำเละเป็น “โจ๊ก” ไปเสียฉิบตอนจบ ต้นเหตุเกิดจาก “คดีจินหลิง” มียาเสพติดนำเข้าจากต่างประเทศ มีซองประทับอักษรจีน เป็น “หัวใจสำคัญ” ที่ต้องถือว่าเป็น “คดีนอกราชอาณาจักร” และเป็น “อาชญากรรมข้ามชาติ” กฎหมายกำหนดให้ “อัยการสูงสุด” เป็น “หัวหน้าพนักงานสอบสวน” เพราะมีความเชี่ยวชาญกฎหมายมากกว่าตำรวจอย่าง สน.ยานนาวา ที่ไม่มีความเชี่ยวชาญเหมือนกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด