เจาะธุรกิจ “กองสลาก” ช่องโหว่ ผลประโยชน์พันล้าน “นอท กองสลากพลัส”

เจาะธุรกิจ "กองสลาก" ช่องโหว่ ผลประโยชน์พันล้าน "นอท กองสลากพลัส"

กว่า 8 ปีแล้วในยุคการบริหารประเทศ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กับการเดินหน้าแก้ปัญหาสลากกินแบ่งรัฐบาล มีราคาขายแพงเกินราคาควบคุม ด้วยสารพัดวิธีการ ทั้งการควบคุมคุณสมบัติผู้จำหน่ายสลากกินแบ่งฯ การจัดสรรและการกำหนดโควต้าสลากกินแบ่งฯให้ผู้ค้าแต่ละประเภท จนมาถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบจัดจำหน่าย ในรูปแบบออนไลน์ แต่ดูเหมือนว่าราคาสลากกินแบ่งฯ ยังเป็นปัญหาที่ไม่สามารถแก้ไขได้อย่างจริงจัง มากยิ่งไปกว่านั้นมูลค่ารายได้การจัดจำหน่ายสลากกินแบ่งฯจำนวนมาก ที่ควรเป็นผลประโยชน์โดยตรงของภาครัฐ ยังถูกกลุ่มทุนบางรายเข้ามากอบโกยไปเป็นกำไรมูลค่ามหาศาลในรูปของธุรกิจค้าสลากออนไลน์

และเพื่อให้ชัดเจนในทุกประเด็นตรวจสอบ TOP NEWS ขอย้อนไปตรวจสอบวิธีการจัดสรรสลากกินแบ่งฯ ตั้งแต่ก่อนที่จะเกิดยุคคสช. ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่สลากกินแบ่งฯถูกควบคุมโดยภาคเอกชนอย่างเบ็ดเสร็จ ตามรูปแบบของการให้สัมปทาน จนทำให้ราคาขายปลีกสลากกินแบ่งฯแต่ละงวด มีตัวเลขสูงเกินกว่าตัวเลขควบคุมอย่างมาก และผลกำไรส่วนใหญ่ตกอยู่กับกลุ่มทุนเพียง 5 กลุ่มทุน หรือที่เรียกทั่วไปว่า 5 เสือกองสลากฯ

5 เสือกองสลากฯ
1. .บริษัท สลากมหาลาภ จำกัด
2. บริษัท ปลื้มวัธนา (ชื่อใหม่ แอดวานซ์ เทคโนโลยี ซิสเต็มส์)
3.บริษัท ไดมอนด์ ล็อตโต้ ซึ่งถูกระบุว่าเป็นของ “เจ๊แดง” หรือนางปลื้มจิตต์ กนิษฐ์สุด
4.บริษัท หยาดน้ำเพชร และ5.บริษัท บีบี เมอร์ชานท์ ซึ่งทั้งสองบริษัทมีการระบุว่าเป็นของ “เจ๊สะเรียง” หรือ น.ส.สะเรียง อัศววุฒิพงศ์

จากการตรวจสอบพบว่า สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลในยุคนั้น มีการจัดพิมพ์และจำหน่ายสลากฯในแต่ละงวด รวมทั้งหมด 72 ล้านฉบับ และมีการแยกเป็นสลากเป็น 2 ประเภท คือ
1. สลากกินแบ่งรัฐบาล จัดพิมพ์และจำหน่าย งวดละ 50 ล้านฉบับ
2. สลากบำรุงการกุศล จัดพิมพ์และจำหน่าย งวดละ 22 ล้านฉบับ

เหตุผลที่เรียกว่าสลากกินแบ่งรัฐบาล ก็มาจากเหตุผลเพราะรายได้จากการจำหน่ายสลาก จะมีการจัดแบ่งเงินรายได้ ออกเป็น 4 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
1. 60% จัดสรรเป็นเงินรางวัล
2. 12% แบ่งเป็นค่าบริหารจัดการ ซึ่งค่าบริหารจัดการนี้ ก็ยังแยกย่อยเป็น 3 % สำหรับสำนักงานสลากฯ 2 % แบ่งให้ผู้กระจายสลากฯ ซึ่งประกอบไปด้วย ผู้ว่าราชการจังหวัด , สมาคมต่าง ๆ รวมทั้งสำนักสลากฯ เองด้วย
3. 7% จัดเป็นส่วนลดให้กับผู้ค้ารายย่อย
4. อีก 28% ถ้าเป็นสลากกินแบ่งรัฐบาล จะนำเงินส่วนดังกล่าวเข้ารัฐทั้งหมด แต่ถ้าเป็นสลากบำรุงการกุศล รัฐบาลจะมีการหักภาษีไว้ 0.5% และอีก 27.5% จะจัดสรรต่อไปให้กับหน่วยงานการกุศล เช่น โรงพยาบาล หรือ มูลนิธิต่าง ๆ

โดยการจัดจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลที่มียอดพิมพ์งวดละ 50 ล้านฉบับ หรือ 5 แสนเล่ม นั้น พบว่ามีการจัดสรรให้กับผู้แทนจำหน่ายเป็นส่วน ๆ ดังนี้
1.โควต้ารายย่อยส่วนกลาง จำนวน 1.6 แสนเล่ม หรือ เท่ากับ 14.6 ล้านฉบับ
2.โควต้ารายย่อยส่วนภูมิภาค ซึ่งเป็นการจัดสรรผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด ทั้ง 76 จังหวัด และ 75 คลังจังหวัด จำนวน 1.9 แสนเล่ม หรือ เท่ากับ 19 ล้านฉบับ โดยแต่ละจังหวัดจะได้รับไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร
3.โควต้านิติบุคคล จำนวน 17,200 เล่ม หรือ เท่ากับ 1.72 ล้านฉบับ
4.โควต้าองค์กร – มูลนิธิและสมาคม จำนวน 1.35 แสนเล่ม หรือเท่ากับ 13.5 ล้านฉบับ
5.มูลนิธิสำนักงานสลาก จำนวน 10,200 เล่ม หรือ เท่ากับ 1.02 ล้านฉบับ

 

ข่าวที่น่าสนใจ

และถึงแม้ว่า สัดส่วนการจัดสรรสลากกินแบ่งรัฐบาล จะมีการจัดหมวดหมู่แบ่งแยกไว้อย่างชัดเจน แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วการกุมสภาพปริมาณสลากฯส่วนใหญ่ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอยู่ในมือของ 5 เสือกองสลากนั่นเอง

แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงการเข้ายึดอำนาจการบริหารประเทศเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 นโยบายหนึ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช. สั่งดำเนินการโดยเร่งด่วนก็คือการทำให้ราคาสลากฯอยู่ในระดับ 80 บาท ตามมาด้วยการลาออกของบอร์ดกองสลากฯ และการแต่งตั้ง พล.ต.ฉลองรัฐ นาคอาทิตย์ เป็นผู้อำนวยการสลากฯคนใหม่

นอกจากนี้ ยังผ่าตัดใหญ่สำนักงานสลากฯ โดยเปลี่ยนประธานกรรมการฯ จากนายราฆพ ศรีศุภอรรถ เป็นนายสมชัย สัจจพงษ์ อธิบดีกรมศุลกากร เหตุเพราะไม่สามารถจัดการกับปัญหาการจำหน่ายสลากกินแบ่งเกินราคา ซึ่งถือเป็น “วาระเร่งด่วน” ของ คสช. ที่ต้องการเข้ามาคืนความสุขให้ประชาชนได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านมาหลายเดือน กลับพบว่า แนวทางนี้ไม่สามารถทำให้สลากกินแบ่งฯ มีราคาขายอยู่ที่ 80 บาทได้ ทั้งๆ ที่ประธานฯ ก็พยายามเจรจากับยี่ปั๊วรายใหญ่ ที่ครองส่วนแบ่งมากกว่าครึ่งของสลากกินแบ่งฯ ทั้งระบบกว่า 70 ล้านใบ ซึ่งถือว่านี่เป็นอีกหนึ่งต้นตอสำคัญของปัญหา นอกจากนั้น การใช้มาตรการหลายๆ อย่าง ทั้งการเปลี่ยนโครงสร้างของกองสลากทั้งบอร์ด ผู้บริหาร ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

จนกระทั่ง ในวันที่ 1 พ.ค. 2558 พล.อ.ประยุทธ์ ได้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ออกคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 11/2558 เรื่อง มาตรการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อให้การแก้ไขปัญหาที่เกิดจากการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล

ที่สำคัญยังเป็นที่มาของการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของบอร์ดกองสลากฯใหม่ทั้งหมด ตามเงื่อนไขกำหนดว่า ให้คณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลตามกฎหมายว่าด้วยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ประกอบด้วย

(1) ผู้ที่หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้ง เป็นประธานกรรมการ
(2) ผู้แทนกระทรวงการคลัง เป็นกรรมการ
(3) ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง เป็นกรรมการของมนุษย์
(4) ผู้แทนกระทรวงมหาดไทย เป็นกรรมการ
(5) ผู้แทนกระทรวงยุติธรรม เป็นกรรมการ
(6) ผู้แทนกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการ
(7) ผู้แทนสำนักงบประมาณ เป็นกรรมการ
(8) ผู้แทนสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย เป็นกรรมการ
(9) ผู้ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติแต่งตั้ง เป็นกรรมการจำนวนไม่เกินสามคน
(10) ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เป็นกรรมการและเลขานุการ

และมีการมอบหมายให้ พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ รองแม่ทัพภาคที่ 1 หรือ บิ๊กแดง ในขณะนั้น เข้ามาทำหน้าที่เป็นประธานบอร์ดกองสลากฯคนใหม่ แทนนายสมชัย โดยนัยหนึ่งก็เพื่อดำเนินการรื้อโควต้าการจัดสรรสลากกินแบ่งรัฐบาลเดิม ซึ่งถูกผูกขาดโดยบุคคลกลุ่มหนึ่งที่เรียกว่า 5 เสือกองสลากฯ

 

ซึ่งทั้งหมดเป็นกลุ่มผู้ค้าสลากฯรายใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงสำนักงานสลากฯ จัดพิมพ์ลอตเตอรี่การกุศลเมื่อปี 37 แต่ไม่มีผู้ค้าเข้ามารับลอตเตอรี่ไปขาย ส่งผลให้สำนักงานสลากฯ ต้องเปิดให้บริษัท นิติบุคคล เข้ามารับโควตา จนกระทั่งต่อมาได้เหลือเพียง 3 เสือกองสลากฯ ได้แก่ บริษัท สลากมหาลาภ จำกัด บริษัท หยาดน้ำเพชร และห้างหุ้นส่วนจำกัด ขวัญฤดี

อย่างไรก็ตาม ภายหลังการเข้าบริหารกองสลากฯโดยบิ๊กแดง บอร์ดกองสลากฯก็มีนโยบายชัดเจนที่จะไม่ต่ออายุการสัมปทานโควต้าหวยให้กับผู้ค้ารายใหญ่ในกลุ่ม 3 เสืออีกต่อไป ที่สุดจึงเป็นที่มาของการปิดตำนาน 5 เสือกองสลากฯโดยสมบูรณ์

ทั้งนี้ ปัญหาต่างๆ ได้ถูกหยิบยก และ เดินหน้าในการแก้อย่างเป็นรูปธรรม ในยุคที่ บิ๊กแดง เป็นประธานฯ ภายใต้ แนวทางการสร้างผู้ค้ารายย่อย โดยการกำหนดมาตรการ ด้วยการเปลี่ยนแปลงหลักการ ดังนี้
1. จัดสรรรายได้จากการจำหน่ายสลาก 60% เป็นเงินรางวัล
2. ปรับสัดส่วนรายได้นำส่งคลังจาก 28% เหลือ 20% ของรายได้จากการจำหน่ายสลาก ทำให้รัฐรายได้ลดลง 1,500 ล้านบาทต่อปี
3. จัดสรรเงินรายได้จากการจำหน่ายสลาก 3% เป็นค่าใช้จ่ายสำนักงานสลากฯ
4. จัดสรรรายได้ 3% เป็นรายได้ “กองทุนสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเพื่อการพัฒนาสังคม”
5. จัดสรรรายได้ 14% เป็นส่วนลดให้กับตัวแทนจำหน่ายสลาก

การปรับโครงสร้างครั้งนี้ ส่งผลให้ตัวแทนจำหน่ายสลากรายย่อย รวมถึงตัวแทนจำหน่ายประเภทมูลนิธิและสมาคมนิติบุคคล มีต้นทุนสลากที่ลดลง และมีกำไรเพิ่มขึ้น และสามารถควบคุมราคาสลากฯ ให้อยู่ในระดับ 80 บาทได้ในช่วงแรก จนกระทั่งถึงยุคที่คณะกรรมการสำนักงานสลากฯ ซึ่งมีนายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมสรรพาสามิต นั่งเป็นประธานกรรมการฯ มีมติให้พิมพ์สลากออกมาขายในงวดวันที่ 1 สิงหาคม 2562 ซึ่งเปิดการจองตั้งแต่หลังวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 เป็นต้นไป เพิ่มเป็น 100 ล้านฉบับ เรื่อยมาจนมาถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า ประเด็นปัญหาแพลทฟอร์มออนไลน์ เกิดขึ้นในช่วงรอยต่อที่ปริมาณสลากกินแบ่งฯ มีเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ทำให้เป็นช่องว่าง ช่องโหว่ ให้เกิดแพลทฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ต่างๆ อย่าง มังกรฟ้า กองสลากพลัส โดยเฉพาะนอท กองสลากพลัส ซึ่งมี หวยไว้ขายจำนวนมากกว่า 4 ล้านฉบับต่องวด ขายเกินราคา ด้วยเหตุผล มีค่าบริการ ซึ่งทำให้หลายคน ตั้งข้อสงสัยว่า เอา หวยมาจากไหน ? ขายเกินราคาได้ อย่างไร ? เรื่องดังกล่าวเป็นการแก้ปัญหา ที่ถูกต้องและตรงจุดหรือไม่ หรือเป็นแค่เพียง ตีเมืองขึ้นเปลี่ยนกลุ่มรับผลประโยชน์ ???

 

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ข่าวล่าสุด

“เอกภพ” ได้ประกันตัว ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ปมให้ข้อมูลเท็จดิไอคอน จ่อฟ้องกลับ
สามเชฟดังร่วมรังสรรค์เมนูเพื่อการกุศลทางการแพทย์
"ทนายบอสพอล" เผยเป็นไปตามคาด "เอก สายไหม" ถูกจับ จ่อดำเนินคดีหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้าน
ศาลออกหมายจับ 'เจ๊หนิง' พร้อมสามีและหลาน ร่วมกันแจ้งความเท็จ 'ภรรยาบิ๊กโจ๊ก'
อิสราเอลถล่มเลบานอนดับครึ่งร้อย
หมายจับ ICC กระทบอิสราเอลอย่างไร
เปิดวิสัยทัศน์ประธานเครือข่ายธุรกิจ Bizclub นครราชสีมาคนใหม่ “กิม ฐิติพรรณ จันทร์ประทักษ์”
เกาหลีใต้ชี้รัสเซียส่งระบบป้องกันภัยทางอากาศให้เกาหลีเหนือ
สหรัฐเมินไฮเปอร์โซนิครัสเซียลั่นไม่หยุดหนุนยูเครน
เมียเอเย่นต์ค้ายาบ้า ร้องถูกตร.รีด 5 แสน แลกปล่อยตัว พ่วงเรียกเก็บเงินรายเดือน

ดู LIVE รายการ

X

เราใช้ คุ้กกี้ เพื่อให้ทุกคนได้ประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น