วันที่ 10 ธ.ค. 65 นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กโดยระบุว่า ผบ.ตร. ขี้กลัว? เรื่องราว “มาเฟียทุนจีนสีเทา” สะเทือนสังคมไทยอย่างรุนแรงตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือนที่ผ่านมาไม่มีแผ่ว กระทบเป็นวงกว้าง เหมือนขยะที่กองสุมอยู่ใต้พรมมานาน
เพิ่งจะทราบว่าการจับ “ผับจิงหลิน” มีเบื้องหลัง มากมายได้ถึงขนาดนี้ และความเลวร้ายชักช้าทั้งหลายทั้งปวง เกิดจาก “ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” เสียเอง หากทราบเรื่องราวต่อไปนี้ เสมือนประชาชนอย่างกระผม “ถูกตบหน้ากลางสี่แยกปทุมวัน”
เรื่องนี้จำเป็นต้องให้สังคมรู้ “บิ๊กโจ๊ก” หรือ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ตำแหน่ง “รองผู้บัญชาการตำรวจชาติ” ที่ออกหน้าสื่อแถลงข่าว กวาดล้างทุนจีนสีเทา ตามล้างตามเช็ด ทั้งวีซ่ามั่ว สวมบัตรประชาชน มูลนิธิเก๊ ยึดทรัพย์ อายัดเงิน สารพัดอย่างแท้จริงเป็นเพียง “โฆษก” ออกหน้าเวที แต่ไม่มีอำนาจ เหมือนยักษ์ไม่มีกระบอง
จาก “คำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ 544/2565 เรื่อง แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน” จะรู้ซึ้งว่า อะไรคือ “ปัญหาซ่อนเงื่อน“ ที่ทำให้เรื่องราวสลับซับซ้อน เชื่องช้า อย่างที่คนอย่างผมต้องไปตามจิกตามจี้ กว่าจะเดินไปได้แต่ละก้าว
ทั้งที่ คดี “มาเฟียจีนสีเทา” ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และความเชื่อถือของประชาชน แต่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ “บิ๊กเด่น” กลับออกคำสั่งให้ พลตำรวจเอก สุรเชษฐ์ หักพาล “บิ๊กโจ๊ก” รอง ผบ.ตร. เป็นเพียงผู้ควบคุม กำกับ ดูแล การสืบสวนสอบสวนเท่านั้น ร่วมกับ พลตำรวจโท ภานุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. แต่ท่านนี้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่เคยเห็น ไม่เคยทราบมาก่อน ไร้บทบาทตัวตน ไฮไลท์สำคัญแท้จริงเป็น “พลตำรวจโท ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล” ที่เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน “คดีผับจินหลิง” นั่นเอง