พยาบาลมากกว่า 1 แสนคน ในอังกฤษ เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ ประท้วงหยุดงานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 106 ปีของสหภาพพยาบาลเมื่อวานนี้ โดย เดนิส เคลลี ประธานคณะกรรมการประธานสหภาพพยาบาลกล่าวว่า พยาบาลอังกฤษมาถึงจุดวิกฤต ทำให้พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหยุดงาน พร้อมกล่าวถึงการหยุดขึ้นค่าจ้างของภาครัฐเป็นเวลาหลายปี และค่าครองชีพที่พุ่งสูงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้พยาบาลเรียกร้องให้ขึ้นค่าจ้าง 19 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อ บวกกับการเพิ่มค่าจ้างอีก 5 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งรัฐบาลได้เสนอขึ้นค่าจ้างเพียง 4.5 เปอร์เซ็นต์ สำหรับพยาบาลส่วนใหญ่ ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ระดับล่างสุดจะได้รับการขึ้นค่าจ้าง 9 เปอร์เซ็นต์ โดยโฆษกของนายกรัฐมนตรี ริชี ซูแน็ค ออกมากล่าวเมื่อวานนี้ว่า แผนข้อเสนอนี้นั้น ยุติธรรมและสมเหตุสมผลแล้ว พร้อมชี้ว่าพยาบาลได้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น 3 เปอร์เซ็นต์ไปแล้ว เมื่อปีที่แล้ว
นอกเหนือจากปัญหาทางการเงินแล้ว สถานการณ์ต่างๆ รวมถึงความปลอดภัยของผู้ป่วยกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง พนักงานของโรงพยาบาลเซนต์โธมัสในลอนดอนกล่าวว่า พยาบาลอยู่ในระยะหมดไฟ เนื่องจากงานที่มากเกินไป ซึ่งได้มาถึงจุดที่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วย และสถานการณ์พยาบาลขาดแคลน ทำให้ขณะนี้พยาบาลหนึ่งคน ต้องทำงานของพยาบาล 3 คน ส่วนพยาบาลโรงพยาบาลแอดเดนบรูคส์ ในเคมบริดจ์กล่าวว่า ตั้งแต่โควิด-19 เป็นต้นมา ภาระงานเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่เพิ่มเติม โดยขณะนี้ มีตำแหน่งพยาบาลว่างหลายหมื่นตำแหน่ง
แม้จะมีแรงกดดันเพิ่มขึ้นจากสาธารณชนและแม้แต่จากภายในพรรคอนุรักษ์นิยม สำนักนายกรัฐมนตรียังยืนยันว่า ไม่มีแผนที่จะพิจารณา ขึ้นค่าจ้างใหม่ โดย มาเรีย คอลฟิลด์ รัฐมนตรีสาธารณสุขแย้งว่า ทุก ๆ 1เปอร์เซ็นต์ ที่เพิ่มขึ้นของค่าจ้าง จะทำให้ประชาชนเสียค่าใช้จ่าย 700 ล้านปอนด์ (ประมาณ 3 หมื่นล้าน) และการพยายามปรับขึ้นค่าแรงตามอัตราเงินเฟ้อ จะทำให้ปัญหาแย่ลง
ในขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีซูแน็ค ได้ออกมาเตือนเมื่อต้นสัปดาห์ว่า เขาเตรียมที่จะออก กฎหมายประท้วงหยุดงานใหม่ที่เข้มงวด เพื่อป้องกันไม่ให้เศรษฐกิจของอังกฤษหยุดชะงักไปมากกว่านี้ จากคลื่นการประท้วงหยุดงานครั้งใหญ่ ของทั้งพนักงานภาค ขนส่ง ไปรษณีย์ ทางหลวง และสหภาพแรงงานอื่น ๆ